“สมัชชาพลเมือง” บันไดขั้นแรกสู่ความเข้มแข็งของประชาชน
“พลเมือง” เป็น “หัวใจ” ของร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญในขณะนี้
จึงไม่แปลกที่ร่างรัฐธรรมนูญจะร่างขึ้นโดยคำนึงถึงความสำคัญของ “พลเมือง” เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ 1 ใน 4 ประการได้แก่ การสร้างพลเมืองเป็นใหญ่ (เพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วมของพลเมือง) การเมืองใสสะอาดและสมดุล (เพื่อป้องกันการทุจริต) หนุนสังคมที่เป็นธรรม(เพื่อการปฏิรูป และลดความเหลื่อมล้ำ) และนำชาติสู่สันติสุข (เพื่อสร้างความปรองดอง) ดังนั้น บทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับ “สมัชชาพลเมือง” จึงถูกบรรจุไว้ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับปฏิรูป อาทิ
ในหมวด 2 ประชาชน ส่วนที่ 1 ความเป็นพลเมืองและหน้าที่พลเมือง ได้ระบุว่า ประชาชนชาวไทยมีฐานะเป็นพลเมือง รวมทั้งระบุหน้าที่ของพลเมือง และมีการจัดตั้งองค์กรต่างๆ ขึ้นตามรัฐธรรมนูญ เพื่อประโยชน์ในการสร้างและส่งเสริมความเป็นพลเมือง ให้มีกระบวนการที่ประชาชนชาวไทยอาจมารวมกันเป็นสมัชชาพลเมือง ซึ่งเป็นกระบวนการระดับพื้นที่ชุมชนและระดับอื่น เพื่อมีส่วนร่วมอย่างสร้างสรรค์ในการจัดการชุมชน การบริหารท้องถิ่นและการอื่น ตามที่กฎหมายบัญญัติ
ขณะที่หมวดที่ 7 การกระจายอำนาจและการบริหารท้องถิ่น ได้กำหนดให้ “องค์กรบริหารท้องถิ่นมีหน้าที่ต้องส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยอย่างน้อยต้องเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร รายงานผลการดำเนินงาน และรายงานงบการเงินและสถานการณ์การคลังท้องถิ่นให้ประชาชนทราบ ส่งเสริมสมัชชาพลเมือง รวมทั้งต้องจัดให้ประชาชนมีส่วนร่วมตัดสินใจในการดำเนินงานที่มีผลกระทบต่อประชาชน ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ"
“เพื่อประโยชน์ในการมีส่วนร่วมของประชาชนตามมาตรานี้ พลเมืองอาจรวมกันเป็นสมัชชาพลเมือง ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกที่มาจากองค์ประกอบที่หลากหลายจากพลเมืองในท้องถิ่น และมีความเหมาะสมกับภูมิสังคมของแต่ละพื้นที่ มีภารกิจในการร่วมกับองค์กรบริหารท้องถิ่นในการดำเนินการตามบัญญัติไว้ในมาตรานี้”
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเปิดพื้นที่สำหรับการมีส่วนร่วมของภาคพลเมือง ให้เกิดการเชื่อมโยงและรวมตัวกันระหว่างกลุ่มองค์กร ผู้คนในแต่ละพื้นที่ เพื่อสร้างความร่วมมือในการพัฒนาท้องถิ่นหรือชุมชน และเกิดความร่วมมือกับองค์กรบริหารท้องถิ่นและกลไกจากภาคส่วนต่างๆ เกิดความร่วมมือและการ มีส่วนร่วมกับการพัฒนาท้องถิ่น ร่วมปกป้องรักษา อนุรักษ์ ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อมและศิลปวัฒนธรรมอันดีที่มีอยู่ในท้องถิ่น
สร้างความเข้มแข็งให้กับพลเมือง สร้างโอกาสให้พลเมืองเข้าถึงข้อมูลสิทธิประโยชน์และโอกาสการพัฒนาต่างๆ เพื่อเป็นพลเมืองที่เข้มแข็ง มีจิตสาธารณะ เชื่อมโยงกันเป็นชุมชนและพึ่งตนเองได้
เสริมสร้างการพัฒนาท้องถิ่นที่สมานฉันท์มีเป้าหมายที่พลเมืองในพื้นที่เชื่อมโยงกลุ่มคน องค์กรเครือข่าย หน่วยงาน สถาบัน องค์กรท้องถิ่น หน่วยงานท้องที่ ภาคเอกชน ราชการให้สามารถร่วมมือกันทำงานร่วมวางแผนร่วมวางเป้าหมาย ร่วมจัดการ ร่วมทุน ร่วมแบ่งปันความสำเร็จ โดยมุ่งผลสำเร็จที่คุณภาพของพลเมืองที่เข้มแข็งและความอุดมสมบูรณ์ความก้าวหน้าของพื้นที่และร่วมตรวจสอบและเฝ้าระวังการดำเนินงานและการพัฒนาในพื้นที่ให้ถูกต้อง ปราศจากปัญหาทุจริต ส่งเสริมระบบการเมืองและการพัฒนาพื้นที่ที่ใสสะอาด มีความเป็นธรรมต่อประชาชนพลเมืองอย่างเท่าเทียมกัน ประสานร่วมมือกับสภาตรวจสอบภาคประชาชนในจังหวัด
ซึ่งสมัชชาพลเมืองเป็นกลไกการทำงานของภาคประชาชน สมัชชาพลเมืองสามารถจัดตั้งในพื้นที่ 3 ระดับคือระดับท้องถิ่นขนาดเล็ก เช่น ตำบล เทศบาลระดับจังหวัด และระดับที่เชื่อมโยงตามภูมินิเวศเดียวกัน เช่น ฝั่งทะเล (อันดามัน) พื้นที่ชุมชนบริเวณลุ่มน้ำเดียวกัน โดยสมัชชาพลเมืองมีความสัมพันธ์และทำงานเชื่อมโยงกันแต่มีอิสระต่อกันไม่ได้ขึ้นกับสมัชชาพลเมืองที่มีขนาดใหญ่กว่า
นางสาวสมสุข บุญญะบัญชา กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ระบุถึงร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้มีหลายประเด็นที่กำหนดให้มีการฟังความเห็นประชาชน ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาโครงการหรือการดำเนินงานด้านต่างๆของรัฐ อีกทั้งแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐที่มีเรื่องพลเมืองประชาชนชุมชน ดังนั้น จึงต้องมีเวทีเกิดขึ้นเพื่อให้ภาคประชาชนพลเมือง ทำงานร่วมกับหน่วยงานรัฐ“สมัชชาพลเมือง” จึงเป็นเครื่องมือที่มีขึ้นเพื่อรองรับกระบวนการดังกล่าว
สมัชชาพลเมืองเป็นการเชื่อมโยงกลุ่มองค์กรต่างๆ เพื่อการพัฒนาท้องถิ่น มีความร่วมมือกับหน่วยงาน องค์กรบริหารท้องถิ่น มีการเฝ้าระวังผลกระทบอันอาจเกิดขึ้นต่อท้องถิ่น ทำให้เกิดข้อมูลภาคพลเมือง ทั้งในระดับพื้นที่ ชุมชนและหน่วยงาน มีพื้นที่หรือเวทีสำหรับการเมืองภาคพลเมือง เกิดตลาดกลางเพื่อการค้าขายและระดมทุนทั้งจากกลุ่มการเงินและองค์กรต่างๆ ที่จะมาเชื่อมโยงกับชุมชน รวมทั้งสามารถสร้างสวัสดิการชุมชนระดับพื้นฐานโดยใช้เวทีสมัชชาพลเมืองเป็นตัวตั้ง
นอกจากนี้“สมัชชาพลเมือง”ยังมีบทบาทในการตรวจสอบการทำงานของท้องถิ่นด้วย โดยเฉพาะการใช้จ่ายงบประมาณ โดยกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญท่านนี้เปรียบเทียบว่า “สมัชชาพลเมือง” จะทำหน้าที่ติดตามตรวจสอบอย่างเป็นธรรมชาติ และที่สำคัญมิใช่การตรวจสอบที่ปลายน้ำ แต่จะตรวจสอบตั้งแต่ต้นน้ำ
“จะเกิดการหารือร่วมกันว่า เหตุใดจึงทำโครงการนี้ ทำไมจึงต้องดำเนินการในพื้นที่นี้ การดำเนินการเป็นอย่างไร มีโอกาสที่จะก่อความเสียหายให้แก่ใครอย่างไรหรือไม่ กลไกนี้จะเป็นการดูแลโดยอัตโนมัติทำให้การตรวจสอบเป็นธรรมชาติไม่ใช่มาตรวจสอบพบเมื่อเกิดความเสียหายแล้ว และทำได้เพียงนำผู้กระทำผิดมาลงโทษ”
แม้บทบาทของ “สมัชชาพลเมือง” จะเกี่ยวข้องกับเรื่องรอบๆ ตัวแต่จะไม่มีปัญหาในเรื่องการเชื่อมโยงการทำงาน เนื่องจาก “สมัชชาพลเมือง”ไม่ใช่การสร้างองค์กรใหม่ แต่นำเอากลุ่มองค์กรที่มีอยู่แล้วในพื้นที่หลายระดับมาร่วมกันทำงาน “สมัชชาพลเมือง” จึงถือเป็นบันไดขั้นแรกที่จะนำไปสู่การสร้างความเข้มแข็งให้กับประชาชนอย่างยั่งยืน หากร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ผ่านความเห็นชอบจากประชาชน.