ไต้ฝุ่นเกย์-น้ำท่วม นพ.สุริยเดว ชี้ไทยอ่อนเรื่องทำงานเป็นระบบ
ผอ.สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว กระตุ้นมโนสำนึกคนไทย เผชิญวิกฤติน้ำท่วม อย่างที่ไม่ต้องเบียดเบียนผู้อื่น ทั้งการขายของแบบขูดรีด ลักขโมย จอดรถหนีน้ำขวางการจราจร
นพ.สุริยเดว ทรีปาตี ผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว กล่าวกับศูนย์ข้อมูลข่าวสารปฎิรูปประเทศไทย ถึงกรณีพฤติกรรมของคนไทยในช่วงภาวะวิกฤตน้ำท่วม ไม่ว่าจะเป็นการลักขโมย การค้าขายแบบขูดรีด แม้กระทั่งการนำรถยนต์ขึ้นไปจอดบนทางยกระดับและทางด่วน ว่า ปัจจุบันคนไทยมีคุณธรรม จริยธรรม อ่อนแอลงมาก ซึ่งจากอุทกภัยครั้งนี้เป็นบทเรียนที่สามารถสอนอะไรได้หลายเรื่อง โดยเฉพาะปัจจุบัน คนไทยอ่อนแอเรื่องของการ"ให้" กันและกัน ทั้งที่แต่เดิมนั้นเป็นจุดแข็งของประเทศไทย
“เวลาเกิดเหตุเภทภัย การเอาตัวรอดมีอยู่แล้วในสัญชาตญาณมนุษย์ ที่ต้องเอาชีวิตให้รอดให้ได้ แต่ก็ต้องไม่เป็นการสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น เช่น ถ้าจมน้ำก็พยายามเอาชีวิตให้รอด หรือถ้าเกิดเหตุอันตรายก็ช่วยชีวิตตนเองและช่วยเหลือชีวิตของคนรอบข้าง ก็เป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ และเมื่อไม่มีจะกินก็สามารถไขว้ขว้ามาเพื่อจะให้มีกิน แต่การไปแย่งหรือทำร้ายเพื่อที่จะให้ตนเองรอด เป็นสิ่งไม่ควรเป็น ถือเป็นพฤติกรรมที่เกินไป”
นพ.สุริยเดว กล่าวต่อว่า ต้องแยกแยะให้ออก ว่าโครงสร้างทางพื้นฐานในชีวิตมนุษย์ นั่นก็คือปัจจัย 4 เพราะถ้าไม่มีอย่างใดอย่างหนึ่ง สัญชาตญาณของคนก็จะวิ่งเข้าหาเพื่อหาปัจจัย 4 นี้ให้ได้ (ในที่นี้รวมถึงน้ำดื่มด้วย) เพราะถ้าไม่มีพวกนี้ก็ไม่สามารถอยู่รอดได้
“หากโครงสร้างพื้นฐาน ไม่ได้รับการดูแล ในกรณีที่คนหิวโหยหรือไม่สามารถดำรงชีพอยู่ได้ ก็อาจจะจำเป็นที่ต้องเอาตัวรอด ทำตามสัญชาตญาณและปกป้องตนเองไว้ก่อน แต่ไม่ใช่หมายถึงว่า ยังสามารถช่วยเหลือตนเองได้ แต่มีความต้องการเพิ่มขึ้นอีก ก็จะเป็นอีกหนึ่งกรณี เช่น การขายของแบบขูดรีด ในราคาที่สูงลิบ หรือการที่ของตนเองก็มีอยู่แล้ว แต่ก็ยังไปขโมยของคนอื่นอีก เหล่านี้เป็นสิ่งที่ผิด”
ส่วนกรณีที่มีประชาชนจำนวนมากนำรถยนต์ส่วนตัวขึ้นไปจอดบนทางยกระดับและทางด่วน ขัดขวางเส้นทางการจราจร นั้น นพ.สุริยเดว กล่าวว่า รถยนต์นั้นเป็นส่วนเกินจากปัจจัย 4 ซึ่งในกรณีนี้เราต้องมีมโนสำนึกว่า ถ้านำรถมาจอดกันเบียดเสียด จนทำให้เกิดจราจรติดขัดหรือรถอื่นไม่สามารถเคลื่อนไปได้ และหากเกิดสถานการณ์ฉุกเฉินขึ้นรถก็ไม่สามารถผ่านได้ เป็นเรื่องที่ไม่สมควร
“เราต้องตั้งโจทย์สมมุติขึ้นมาว่า ถ้าหากเป็นญาติพี่น้องของคุณที่กำลังเจ็บป่วย แต่พบเจอกับปัญหานี้แล้วจะเดือดร้อนหรือไม่ ฉะนั้นต้องสร้างพฤติกรรมให้เกิดการเปรียบเทียบ” นพ.สุริยเดว กล่าว และว่า และการที่ประชาชนต้องนำรถไปจอดบนทางยกระดับหรือทางด่วน ยังเป็นการสะท้อนให้เห็นว่า สังคมเราขาดการเตรียมการที่เป็นระบบที่ดี เห็นได้ชัด ตั้งแต่ที่เกิดเหตุการณ์ไต้ฝุ่นเกย์ถล่มที่ชุมพร การจัดการล้มเหลวอย่างไร เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ปัจจุบันก็ยังคงเป็นเช่นนั้น ทั้งนี้ สะท้อนให้เห็นว่า ประเทศของเรานั้นอ่อนมากในเรื่องของการทำงานเป็นระบบ และถ้าผู้คนของเราไม่มีวิธีคิดที่เป็นระบบอย่างนี้ จะเป็นการสร้างความเสียหายอย่างยิ่งใหญ่ในสังคม
นอกจากนี้ ผอ.สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว กล่าวด้วยว่า วิธีแก้ไขในยามนี้ ต้องใช้ภาคีเครือข่ายเฝ้าระวัง ควบคู่กับอาศัยกระบวนการทางกฎหมาย เชิงระเบียบ รวมถึงกระบวนการอยู่ร่วมกันในสังคม อีกทั้งมาตรการโครงสร้างทางสังคม เช่น พรรคพวกเพื่อนฝูงก็ช่วยกันเฝ้าระวังกันเอง และในเชิงพาณิชย์ก็ต้องเข้มในเรื่องการค้าขายขูดรีด ส่วนวิธีแก้ไขเชิงระยะยาว คงต้องนั่งวางแผนโดยให้เห็นว่า สังคมเราถ้ายังมีพฤติกรรมแบบนี้เกิดขึ้นมากก็คงแย่ ดังนั้น ต้องมาดูกันว่า สังคมของเราเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงมีแบบนี้เกิดขึ้นจำนวนมา
“ท่ามกลางวิกฤตแบบนี้ จะทำอย่างไรให้อยู่ร่วมกันได้ และในสภาวะฉุกเฉินเช่นนี้ จะทำอย่างไรให้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันได้ ไม่บาดเจ็บ เพราะฉะนั้นการที่จะทำอะไรต้องมีมโนสำนึก เช่นการที่นำรถไปจอดจนเบียดชิด และดูว่าจอดแล้วจะทำให้การจราจรติดหรือเปล่า เพราะถ้าติดก็ต้องคิดว่าสะพานควรต้องเหลือช่องทางเพื่อให้รถคันอื่นขับเคลื่อนไปได้”
นพ.สุริยเดว กล่าวในตอนท้ายว่า การกระทำใดๆของเราต้องไปไม่รบกวนปัจจัย 4 ของผู้อื่น สิ่งที่เรากำลังทำอยู่ เรารอดจากปัจจัย 4 ของเราแล้ว เราต้องคำนึงถึงปัจจัย 4 ของเพื่อนมนุษย์ ซึ่งเราทุกคนก็ต้องรู้ว่าปัจจัย 4 นั้นเป็นสิ่งจำเป็นพื้นฐานของการดำรงชีวิตของมนุษย์ การกระทำใดๆต่อแต่นี้ ต้องคำนึงว่าไปรบกวนเพื่อนมนุษย์ที่อยู่ในสังคมเดียวกันหรือเปล่า ถ้าหากว่าใช่ก็อย่าทำ เพราะอาจจะทำให้คนเจ็บไข้ได้ป่วยไม่ได้ไปไหนเลย และคนอื่นก็อาจได้รับความเดือดร้อนตามไปอีกด้วย
