มหา'ลัยเลื่อน"เปิด-ปิด"ภาคเรียนก.ย. อีกหนึ่งความพร้อมสู่.."ประชาคมอาเซียน"??
ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม ที่ผ่านมา มีมติให้มหาวิทยาลัยที่เป็นสมาชิก ทปอ.ทั้ง 27 แห่ง ไปหารือภายในประชาคมของตนเอง เกี่ยวกับการ "เลื่อน" การเปิดภาคเรียนที่ 1 จากเดือนมิถุนายน ของทุกปี ออกไปเป็นเดือนกันยายน เพื่อให้ตรงกับการเปิดภาคเรียนของประเทศสากลทั่วโลก หลังจากก่อนหน้านี้ ทปอ.เคยหารือในเรื่องดังกล่าวมาแล้วครั้งหนึ่ง
การหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นหารือ เพราะ ทปอ.เห็นว่า แม้แต่ประเทศในกลุ่มประเทศอาเซียนด้วยกันเอง ก็เปิดภาคเรียนในช่วงเดือนกันยายน ยกเว้น 3 ประเทศ ได้แก่ ไทย พม่า และฟิลิปปินส์ ที่เปิดภาคเรียนไม่ตรงกับประเทศอื่นๆ
โดยปัจจุบัน สถาบันอุดมศึกษาของไทยจะกำหนดเปิดปิดภาคเรียนที่ 1 ในช่วงเดือนมิถุนายน-ตุลาคม และภาคเรียนที่ 2 ช่วงเดือนพฤศจิกายน-มีนาคม ขณะที่กลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน มีกำหนดเปิด-ปิดภาคเรียนที่ 1 ในช่วงเดือนกันยายน-ธันวาคม และภาคเรียนที่ 2 ช่วงเดือนมกราคม-พฤษภาคม
ล่าสุด มีมหาวิทยาลัยไทยที่ได้เตรียมแผนเลื่อนการเปิดภาคเรียนออกไปเป็นเดือนกันยายน ตั้งแต่ปีการศึกษา 2556 ได้แก่ มหาวิทยาลัยนเรศวร (มน.) และคณะวิศวกรรมศาสตร์ หลักสูตรนานาชาติ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.)
ซึ่งในส่วนของ มน.รองอธิการบดีฝ่ายวิชการ "นางกาญจนา เงารังษี" ระบุว่า มน.จะเลื่อนการเปิดภาคเรียนในทุกคณะวิชาออกไปเป็นเดือนกันยายน โดยเริ่มตั้งแต่ปีการศึกษา 2556 โดยขณะนี้อยู่ระหว่างเตรียมการจัดทำโมเดลเป็นตัวอย่าง เบื้องต้นคาดว่านักศึกษาจะจบการศึกษาได้เร็วขึ้น จากเดิมจบที่ในเดือนพฤษภาคม ก็จะจบเร็วขึ้นในเดือนมีนาคม ซึ่งจะส่งผลดีต่อการแลกเปลี่ยนนักศึกษา และบุคลากร รวมถึง จะเป็นผลดีต่อการส่งนักเรียนไทยที่ไปเรียนต่อในประเทศอาเซียน เพราะไม่ต้องเสียเวลาเรียนปกติ เพราะเปิดภาคเรียนพร้อมกัน
ขณะที่ "นายสมคิด เลิศไพฑูรย์" อธิการบดี มธ.สนับสนุนแนวคิดนี้ของ ทปอ.เพราะการแลกเปลี่ยนนักศึกษา และบุคลากร ที่ผ่านมา จะมีปัญหาอย่างมาก เนื่องจากการเปิดปิดภาคเรียนไม่ตรงกัน ฉะนั้น หากปรับการเปิดภาคเรียนให้เป็นสากลได้ ก็จะเป็นประโยชน์
สำหรับสาเหตุหลักๆ ที่ ทปอ.ได้หยิบเรื่องนี้ขึ้นหารือกันอย่างเร่งด่วนในขณะนี้ เนื่องจากประเทศไทยจะต้องเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ในปี 2558 ฉะนั้น หากการเปิดปิดภาคเรียนของมหาวิทยาลัยไทยไม่ตรงกับมหาวิทยาลัยของประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะในกลุ่มอาเซียนด้วยกันเองแล้ว ก็จะเกิดปัญหาในการขับเคลื่อนงานที่เกี่ยวกับอุดมศึกษาในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการแลกเปลี่ยนนักศึกษา แลกเปลี่ยนบุคลากรทางการศึกษา หรือการผลิตบัณฑิตเพื่อรองรับตลาดอาเซียน
ประธาน ทปอ."นายประสาท สืบค้า" อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี เห็นว่าจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องศึกษาเรื่องการเลื่อนเปิดปิดภาคเรียนให้ละเอียดรอบคอบ โดยเฉพาะความเชื่อ และวิถีชีวิตในสังคมไทยจะได้รับผลกระทบจากการเลื่อนเปิดปิดภาคเรียนหรือไม่ ก่อนที่จะตัดสินใจ และประกาศจุดยืนที่ชัดเจนในเรื่องนี้อีกครั้ง ในการประชุม ทปอ.ในวันที่ 3 ธันวาคม ที่จะถึงนี้
อีกทั้ง หากจะต้องเลื่อนการเปิดภาคเรียนออกไปเป็นเดือนกันยายนของทุกปีแล้ว ทปอ.ก็จำเป็นจะต้องประสานกับมหาวิทยาลัยราชภัฏ (มรภ.) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) และมหาวิทยาลัยเอกชนอีกด้วย เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงกันทั้งระบบ รวมทั้ง ทปอ.ได้เตรียมหารือกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ว่าการเลื่อนเปิดภาคเรียนในระดับอุดมศึกษา จะส่งผลกระทบต่อสถานศึกษาในสังกัด สพฐ.และ สอศ.หรือไม่
ประเด็นนี้ "นายเปรื่อง กิจรัตน์ภร" อธิการบดี มรภ.พระนคร และประธาน ทปอ.มรภ.เห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่ระดับชาติ จึงต้องหารือร่วมกับ มรภ.ทั้ง 40 แห่ง และเห็นว่าหากจะต้องเลื่อนเวลาเปิดภาคเรียนออกไป ก็คงต้องออกเป็นมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพราะเกี่ยวพันกับการจัดสรรงบประมาณ
ขณะที่ "นายนำยุทธ สงค์ธนาพิทักษ์" อธิการบดี มทร.ธัญบุรี และประธาน ทปอ.มทร.9 แห่ง ได้เตรียมนำเรื่องนี้เข้าหารือในวันที่ 5 พฤศจิกายน อย่างไรก็ตาม หาก ทปอ.มีมติอย่างไร มทร.ทั้ง 9 แห่ง ก็ยินดีที่จะปรับตาม เพื่อประโยชน์ของภาพรวม
"นางนันทนา คชเสนี" อาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้อำนวยการบริหารเครือข่ายมหาวิทยาลัยอาเซียน หรือเอยูเอ็น (AUN) ก็ออกมาสนับสนุนแนวคิดของ ทปอ.โดยสรุปภาพรวมของการทำงานระหว่างประเทศสมาชิกด้วยกัน จะเห็นว่าการเปิดปิดภาคเรียนที่ไม่ตรงกันในกลุ่มประเทศอาเซียน ส่งผลให้เกิดปัญหาในการขับเคลื่อนงานต่างๆ ทั้งการแลกเปลี่ยนบุคลากรทางการศึกษา ครู อาจารย์ และนักศึกษา รวมถึง กระทบต่อการผลิตบัณฑิตเพื่อรองรับตลาดอาเซียนอีกด้วย
สำหรับการเปิดปิดภาคเรียนในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานนั้น ผู้อำนวยการเอยูเอ็นเห็นว่า ไม่จำเป็นต้องเลื่อนการเปิดปิดภาคเรียนของนักเรียนในชั้นประถม และมัธยมศึกษา โดยนักเรียนสามารถใช้ช่วงเวลาที่เลื่อนเปิดปิดภาคเรียนของมหาวิทยาลัย พักผ่อน และเตรียมความพร้อมที่จะเข้าสู่มหาวิทยาลัยได้อย่างเต็มที่
แม้ว่าหลายๆ ฝ่าย จะสนับสนุนแนวคิดของ ทปอ.แต่ดูเหมือน "นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) จะไม่เห็นด้วยกับแนวคิดการเลื่อนเปิดภาคเรียนที่ 1 ออกเป็นไปเดือนกันยายน ส่วนสาเหตุที่รัฐมนตรีว่าการ ศธ.ไม่เห็นด้วยเนื่องจากการเปิดปิดภาคเรียนของไทย จะหลีกเลี่ยงช่วงฤดูร้อน และฤดูน้ำหลาก เพราะในช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคม เป็นช่วงหน้าน้ำ จะส่งผลให้การเดินทางไปเรียนหนังสือเป็นไปด้วยความยากลำบาก ฉะนั้น หากปรับเวลาเปิดภาคเรียนในช่วงเดือนกันยายน-ธันวาคม ก็จะเป็นช่วงหน้าน้ำพอดี จึงต้องดูว่าจะกระทบกับการเรียนการสอนหรือไม่
ขณะเดียวกัน การเปิดภาคเรียนที่ 2 ในเดือนพฤศจิกายน-มีนาคม และไปหยุดในเดือนเมษายน ซึ่งเป็นช่วงหน้าร้อนพอดี บวกกับตรงกับเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งเป็นประเพณีสำคัญ นักเรียนส่วนใหญ่ไม่อยากเรียน
ฉะนั้น หาก ทปอ.จะมีมติอะไรออกมา ควรจะต้องสำรวจความเห็นของคนส่วนใหญ่ก่อน
ซึ่งเรื่องนี้ ประธาน ทปอ.ได้ออกมาตอบโต้รัฐมนตรีว่าการ ศธ.อย่างทันทีทันควันว่า อยากให้นายวรวัจน์คิดให้รอบคอบก่อนที่จะตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะการที่ ทปอ.จะออกมติอย่างหนึ่งอย่างใด ก็จะต้องศึกษาข้อดี และข้อเสียก่อน ไม่ได้ทำแบบสุกเอาเผากินอย่างแน่นอน เพราะต้องรับฟังเสียงส่วนใหญ่ด้วย และหากจะมีการปรับเปลี่ยนใดๆ ก็ตาม จะต้องทำพร้อมกันทั้งระบบ โดยจากนี้ไป ทปอ.จะทำวิจัยในเรื่องนี้
ท้ายที่สุด ทปอ.จะมีมติเลื่อนการเปิดภาคเรียนที่ 1 จากเดือนพฤษภาคม ของทุกปี ออกไปเป็นเดือนกันยายน เพื่อให้ตรงกับการเปิดเรียนของประเทศต่างๆ ทั่วโลก รวมทั้ง ประเทศส่วนใหญ่ในกลุ่มอาเซียนด้วยหรือไม่ ก็คงต้องศึกษาข้อดี และข้อเสียให้รอบคอบ
เพื่อให้เกิดประโยชน์กับทุกๆ ฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน นักศึกษา ครู อาจารย์ และตัวสถานศึกษาของไทย รวมทั้ง เกิดประโยชน์กับประเทศไทยให้มากที่สุด
ซึ่งถือเป็นการเตรียมความพร้อมอีกทางหนึ่ง ก่อนที่ประเทศไทยจะ (นับถอยหลัง) ก้าวเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ในปี 2558!!