"ระเบิดลง .. วงการข่าว"
ระเบิดที่ลงยังราชประสงค์เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม ที่ผ่านมา ไม่ได้ทำให้ผลกระทบเกิดขึ้นต่อการเมือง เศรษฐกิจ หรือ ความมั่นคงเท่านั้น เพราะมันได้เป็นการสร้างคำถามใหญ่ ต่อการทำหน้าที่สื่อมวลชน ผู้ที่เคยถูกยกย่องกับฐานันดรพิเศษ แทบทุกวันจนสังคมเกิดคำถามว่ามาตรฐานวิชาชีพอยู่ที่ไหน

1.ดราม่าจงเจริญ : เพราะ ไม่กี่นาที่หลังระเบิดลูกแรกทำงาน การทำหน้าที่ของผู้สื่อข่าวที่ลงไปรายงานสดในพื้นที่ ก็ถูกตั้งคำถามว่า “ กีดขวางการทำหน้าที่ของเจ้าพนักงาน” หรือไม่ แน่นอนว่าต่างฝ่าย ต่างทำหน้าที่ของตนเอง แต่ทว่าการทำหน้าที่ของทุกๆส่วน เมื่อเกิดพื้นที่ทับซ้อน ตอบไม่อยากเลยว่า “ เสรีภาพสื่อไม่มีสิทธิละเมิดกฏหรือกติกาแม้แต่นาทีเดียว” .. ปัญหานี้เชื่อว่าเกิดจากแนวทางการทำงานที่ได้สั่งสมมาจนเป็น “ ทางถนัด ” และ บทบาทที่ถูกวางไว้คือ “ ต้องเข้าถึง และ อธิบายเหตุการณ์ ” ให้ไวที่สุด ซึ่งวิธีการก็ถูกต้องตามตำรา คือ อธิบายในสิ่งที่เห็นถ้าเราสามารถเล่าได้ .. เพียงแต่ว่าหลงลืม หรือ ละเลยบ่อยครั้งไปกับมิติข้างเคียง ที่อาจจะทำให้เกิดปัญหา .. เอารถโฟลวีลมาลงสนามนั้นถูกแล้ว แต่ทว่าลืมนึกไปว่าเวลาขับผ่านที่ชาวบ้านจะทำถนน ทำป่า ทำไรเขาพังมากน้อยแค่ไหน .. เรื่องนี้ต้องคิดให้ดี ไม่ใช่แค่ “ดราม่าจงเจริญ”!
2.เร็วกว่านรก : จากนั้นการแข่งขันกับเวลาก็เริ่มต้นขึ้นจนเรียกได้ว่ากระบวนการผลิตข่าวที่ต้องการ “ ความถูกต้อง ” มากกว่า “ ความเร็ว ” ได้กลายเป็นทำให้เร็วที่สุด ลากให้นานที่สุด หรือ เปิดประเด็นให้แหวกที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งบางช่องก็ทำได้ดี แต่บางช่องทำหยาบยิ่งกว่าอาหารจานด่วน จะเห็นได้จากสถานีโทรทัศน์บางช่องรายงานตัวเลขผู้เสียชีวิตจำนวนมากกว่าที่ปรากฏจำนวนมากโดยที่ไม่ได้ตรวจสอบ และ ไม่ได้มีการอ้างอิงแหล่งที่มาประการใด ซึ่งภายหลังก็มีคนจับภาพเทียบกราฟฟิกบนจอช่องนั้น ว่าตรงกับตัวเลขในโซเชี่ยลมีเดีย ซ้ำร้ายโซเชี่ยลมีเดียเผยแพร่ก่อนทีวีหลักเสียอีก .. ไม่นับทีวีหลายๆช่องที่ออกอากาศเรื่อง จส 100 ประกาศหยุดเรียน ซึ่งกว่าจะยืนยันว่าไม่จริงสังคมก็วุ่นวายไปเกือบค่อนคืน .. เรามาถึงจุดที่ “เร็วกว่านรกได้อย่างไร” ?
3.คนอื่นช่างมัน : มาถึงวันที่สอง สิ่งที่ไม่น่าจะเกิดก็เกิดขึ้นจนได้ เมื่อกระบวนการติดตามตัวคนร้ายได้แกะรอยจนพบผู้เห็นเหตุการณ์ ซึ่งนอกเหนือจากตำรวจจะไม่ปิดบังหน้าพยานแล้ว สื่อมวลชนหลายสำนักก็พร้อมใจกันเปิดเผยชื่อเสียงเรียงนามและหน้าตา ราวกับว่าพี่วินคนนี้เป็นดารา หรือ เหยื่อรายใหม่ที่จะทำให้ข่าวมีความเคลื่อนไหวมากขึ้น .. ซึ่งเป็นไปได้อย่างไร ที่นักข่าวไม่สามารถ “ วิเคราะห์ผลกระทบต่อแหล่งข่าวได้ และ ก็อ้างไม่ได้ว่า แหล่งข่าวยินยอมให้สัมภาษณ์ เพราะ เราต้องรู้ผลได้ผลเสียต่อการปรากฏตัวของแหล่งข่าวมากกว่าผู้ให้สัมภาษณ์ ที่แย่ยิ่งกว่านั้นคือ ข่าวมีกระบวนการผลิตที่ซับซ้อน คือ นักข่าว ช่างภาพ ตัดต่อ โปรดิวเซอร์ บรรณาธิการข่าว ผู้ควบคุมออกอากาศ .. เป็นไปได้อย่างไรที่หลุดทุกขั้นตอนการผลิต .. หรือว่า เรื่องนี้ “ ไม่เคย ” อยู่ในจรรยาบรรณ ขององค์กร .. หรือเป็นเพราะ “เรื่องคนอื่นช่างมัน ” !
4. ฉันคือนักแสดง : มาถึงวันที่สาม วันที่ทีวีแต่ละช่องโดยเฉพาะช่องหลัก เริ่มแตกประเด็นโดยที่จำลองเหตุการณ์มากขึ้น ทั้งการแข่งกันใช้กราฟฟิกอีเมอซีฟสุดแพงโชว์ความเหนือชั้น และ แข่งขันกันลงพื้นที่ย้อนรอยเส้นทาง ซึ่งเกือบทุกช่องแทบจะมาตำราเดียวกันหมด ..ขณะที่มีช่องหนึ่งเกิดประกายไอเดียเนื่องจากมีบุคคลากรคาแร็กเตอร์คล้ายผู้ต้องสงสัย จึงตัดสินใจเตรียม “ จำลองเหตุการณ์เหมือนจริง ( มาก ) ” ที่พกตำราสร้างสรรค์อย่างเต็มที่ แต่กลับฉีกตำราข่าวไปหมดสิ้น .. นาทีนี้ชาวบ้านคิดอ่านอย่างไร คงไม่ต้องอธิบาย ! ... ทั้งหมดนี้มันเกิดจากอะไร หรือว่านักข่าวนึกไปว่า “ฉันคือนักแสดง” ?
เอาหล่ะถ้าจะอธิบายแบบคนทำข่าวมาทั้งชีวิตโดยไม่มีทฤษฎี จะอธิบายสิ่งเรื่องที่เกิดขึ้นว่ามันมาจากอะไรได้บ้าง และ ควรแก้อย่างไร
1. คนข่าวต้องลดความเป็นดารา : ซึ่งจะมองได้ไม่ยากว่าการเสพสื่อของคนไทยมาถึงวันที่ เน้นตัวดาราข่าวมากกว่าเนื้อหาข่าว .. ข่าวที่มีเรตติ้งดีที่สุด ณ วันนี้ ไม่ได้เป็นมืออาชีพข่าวโทรทัศน์ แต่ ขายด้วยคนเล่าเรื่องมืออาชีพ ที่ใช้บทข่าวจากหนังสือพิมพ์ และ ภาพข่าวคือภาพประกอบ ( ไม่ใช้ภาพเล่าเรื่อง ซึ่งต่างจากฝรั่ง ที่ข่าว 1 นาทีของฝรั่ง สามารถเล่าเรื่องได้ครบ เพราะ เมื่อภาพดีบทก็ไม่ต้องยาว และ ไม่มีอคติด้วย ) .. เรื่องนี้เถียงมานานในสังคมไทย แต่แทบจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งคนข่าวสายพันธ์ใหม่ ไม่ใช่ “นักข่าว” แต่เป็น “ พิธีกรแขนงหนึ่ง” ที่มีสคริปต์ เป็น บทข่าว ..ผมว่าพวกเราต้องเปลี่ยนแปลงมุมมองด้านบุคคลากรใหม่ทั้งหมด ไม่ใช่รับแค่สวยหล่อคล่องแคล่วเท่านั้น แต่ต้องรู้ข่าว รู้ผลกระทบข่าว และ สอนจรรยาบรรณให้มาก
2. เนื้อข่าวต้องไม่เน้นที่ความเร็ว : ซึ่งเป็นเรื่องที่ทุกคนที่ทำหน้าที่สื่อหลักต้อง “ สำเหนียก “ ให้ได้ว่าวันนี้ต้องพิสูจน์คุณค่าตัวเองเมื่อเทียบกับสื่อใหม่ .. แต่ไฉนเลยเมื่อเกิดเหตุการณ์ปัจจุบันทันด่วนแบบนี้ กลับคว้าข้อมูลที่ไม่มีแหล่งที่มายืนยันออกอากาศ ..การตรวจสอบอย่างน้อย 3 แหล่งที่เชื่อถือได้ไปไหนหมด ..ที่สำคัญกระบวนการตรวจสอบโดยกองบรรณาธิการไม่มีหรือ ไม่มีเช็คหรือดับเบิ้ลเช็คเลยหรือ .. ซ้ำร้ายกว่านั้นหลายๆ สถานีเลือกเกาะสถานการณ์สดเพื่อไม่ให้ตกกระแส แต่กลับให้ผู้ประกาศหน้าละอ่อน พึ่งพาข้อมูลหลักจากแทบเล็ตพีซี หรือ จากมือถือ ... แล้วข้อเท็จจริงที่ถูกต้องมันจะมาจากไหน ? .. กลับมาที่จะเดิมครับ “ ข่าวหลัก “ ต้องเน้นที่ความถูกต้องของข้อมูลมากกว่าความเร็ว ซึ่งกระบวนการกลั่นกรองต้องกลับมาแข็งแรง ( บางที่ไม่มีคนตรวจบท และ บรรณาธิการมือใหม่เต็มไปหมด ) อย่าลืมครับว่า ข่าวผิดอาจจะไม่ใช่คำนวณขนาดเหล็กเส้นผิด หรือ หมอจ่ายยาผิดแล้วคนตาย แต่ถ้าข่าวผิดสังคมก็ตายเหมือนกัน
3. นักข่าวต้องลดสิทธิพิเศษ : เรื่องนี้แปลกมากที่หลายคนมีความคิดแบบนี้ นักข่าวสายนี้ต้องใกล้ชิดกับตำรวจ สายนี้ได้ไปต่างประเทศฟรี สายนี้ฝากลูกเข้าโรงเรียน หรือ สายนี้ดูคอนเสิร์ตเป็นประจำ .. มันไม่ใช่ครับ กับความพิเศษแบบนี้ .. ความพิเศษมันจะเกิดขึ้นต่อเมื่อเราทำหน้าที่เพื่อประชาชน รายงานตัวเลข รายงานข้อมูล บอกเล่าเรื่องราว สอบสวนหาข้อเท็จจริง ซึ่งไมค์ที่ถือบัตรที่ห้อยคอก็เหมือนพระที่ห้อยแหละครับ .. ถ้าทำอะไรไม่สนใจชาวบ้าน ประชาชน หรือ คนอื่นมันก็ไม่ใช่ ฐานันดรที่ชาวบ้านเค้านับถือหรือให้สิทธิ์ .. วิเคราะห์ผลกระทบ คิดถึงหัวออกคนอื่น คิดถึงผลได้เสียจากงานชิ้นนั้นๆ .. ไม่ใช่ท่องแต่ว่าชั้นมาทำงาน ชั้นมีหน้าที่ ชั้นนำเสนอข้อเท็จจริง .. ที่มาของข้อเท็จจริงโดยกระบวนการที่ไม่ชอบ มันก็ไม่ชอบธรรมที่จะได้รับการนำเสนอแต่ต้นอยู่แล้วครับ.. หัวหน้างานต้องมีส่วนดูแลเรื่องนี้ให้มากขึ้น กรองมากขึ้น อย่าปล่อยให้งานออกอากาศโดยตัดกระบวนการตรวจสอบ
4. รายการข่าวต้องลดดราม่า : เอาหล่ะถ้าเราจะพูดถึงความก้าวหน้าของเทคโนโลยีมีส่วนที่เปลี่ยนแปลงงานข่าวก็ต้องบอกว่าใช่ แต่ทว่าเราใช้มันเป็นหรือไม่ เพราะ แม้ว่าเทคโนโลยีจะเปลี่ยนแปลงการนำเสนอที่ช่วยให้เข้าใจง่ายขึ้น สนุกขึ้น เร็วขึ้น ..แต่ว่ารากฐานของการคิดแบบข่าวต้องมีตรรกะที่แข็งแรง และ ต้องยึดถืออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะ Journalism ต่างจาก Mass Communication ซึ่งดูเหมือนว่าระยะหลัง วารสารศาสตร์จะเพี้ยนไปทางสื่อสารมวลชนมากขึ้น .. ซึ่งผมว่าทุกๆความคิดสร้างสรรค์ต้องคำนึงอยู่เสมอว่า “ ฉีกกฏการนำเสนอได้ แต่ต้องไม่ละเลยต่อจรรยาบรรณ” ซึ่งถ้าไม่รู้ไม่เคยเรียน ก็ท่องแค่ “ สามัญสำนึก” ก็พอ
ท้ายที่สุดจะย้ำว่าการเกิดขึ้นของทีวีดิจิตอลและเทคโนโลยี เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้กระบวนการผลิตสื่อเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วกล่าวคือ เมื่อเงินลงไปในสัมปทานมากงบการผลิตก็น้อยลง / งบการผลิตน้อยลงจำนวนคนต่อชิ้นงานมากขึ้น / ชิ้นงานมากจำนวนคนน้อยการตรวจสอบก็น้อยลง / และ เมื่องบน้อยลงอีกการผลิตก็แย่ลง ... แล้วทุกอย่างที่เคยเป็นกติกาที่กำหนดไว้มันก็หายหมด
ผมขอเสนอแนะให้ตั้งลำอย่างนี้ครับ ... เส้นทางในการบริหารงานข่าว ขอให้วิ่งอยู่บนแกนนอนตรงกลาง โดยสามารถวิ่งขึ้นวิ่งลงได้ตามครรลองของศาสตร์การผลิตรายการโทรทัศน์ ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ศาสตร์ของพาณิชย์ศิลป์ และ แนวรับอยู่ที่วารสารศาสตร์ ... พูดง่ายๆครับ ทำข่าวมีฐานคือจรรยาบรรณไม่ละเมิดกฏหมาย คิดถึงสังคม เคารพผู้อื่น ตรวจสอบความถูกต้อง ขณะที่มีเพดานคือไม่ต้องคำนึงธุรกิจมากเกิน ไม่รับงานสีดำ ไม่ขายของ ไม่เป็นเครื่องมือของการเมือง
ขอไว้อาลัยกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น
อภิรักษ์ หาญพิชิตวณิชย์
คนสอนข่าวโทรทัศน์
