ผู้บังคับบัญชายอมรับ "พลทหารรุสลาม" ไม่ได้ฆ่าตัวตาย ตำรวจเดินหน้าทำคดี
ผู้บังคับบัญชายอมรับ "พลทหารรุสลาม" ไม่ได้ฆ่าตัวตาย มึนไม่รู้ข่าวออกมาได้อย่างไร แจงถูกยิงช่วงตะลุมบอนแย่งปืน เผยเหยื่อกระสุนเสียชีวิตถึง 4 ราย เจ็บ 3 ส่อพิการ ครวญเป็นเรื่องอธิบายยากเพราะผู้สูญเสียมีทั้งครอบครัวรุสลามและครอบครัวของทหารที่ถูกยิง ด้านตำรวจย้ำหลักฐานชัดไม่ใช่ฆ่าตัวเองแน่ เดินหน้าทำคดีต่อ ส่วนเหตุร้ายรายวันยังมีบ้างประปราย กู้กับระเบิดสวนยางที่ตากใบได้อีก 2 ลูก
การเสียชีวิตของ พลทหารรุสลาม มอและ ทหารเกณฑ์สังกัดหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส 32 หลังก่อเหตุสลดใช้อาวุธปืนเอ็ม 16 ประจำกายกราดยิงผู้บังคับบัญชาและเพื่อนร่วมงานจนเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บหลายรายคาฐานปฏิบัติการที่บ้านจำปากอ หมู่ 1 ต.บาเร๊ะเหนือ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 14 ก.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งตามข่าวระบุว่าพลทหารรุสลามใช้อาวุธปืนปลิดชีพตนเองหลังก่อเหตุ แต่นางแมะ มอและ มารดาของพลทหารรุสลามไม่เชื่อ เพราะสภาพศพมีร่องรอยถูกยิงและถูกทำร้าย ประกอบกับตามหลักศาสนาอิสลาม การฆ่าตัวตายถือเป็นบาปหนักนั้น
ล่าสุดเจ้าหน้าที่ทหารต้นสังกัดของพลทหารรุสลามได้ออกมายอมรับแล้วว่า พลทหารรุสลามไม่ได้ยิงตัวตาย แต่ก็ปฏิเสธว่าทหารไม่ได้เป็นฝ่ายให้ข่าว และไม่รู้ว่าสื่อมวลชนไปเสนอข่าวอย่างนั้นได้อย่างไร
"รุสลามเสียชีวิตจากเหตุการณ์ชุลมุน คือหลังจากที่เกิดการยิงก็มีการตะลุมบอนแย่งปืนกัน" เจ้าหน้าที่ทหารรายนี้ ระบุ
นายทหารต้นสังกัดของพลทหารรุสลามยังเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด
"วันนั้นเวลาประมาณ 7 โมงเช้า ขณะที่รุสลามกำลังจะออกปฏิบัติภารกิจ รุสลามแต่งเครื่องแบบครบชุดเรียบร้อย จู่ๆ ก็เดินไปยิงกำลังพล 7 นายจนได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต ผมเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไร แต่รุสลามใช้อาวุธปืนประจำกายจ่อยิงใส่ทีละคนเข้าที่หน้าอก จากนั้นก็มีเสียงร้องตะโกนบอกว่ารุสลามอย่าๆ รุสลามอย่า แต่รุสลามไม่ฟัง"
"จากนั้นรุสลามทำท่าจะหันปากกระบอกปืนไปอีกทาง จึงเกิดการแย่งชิงตะลุมบอนกัน ทำให้รุสลามถูกยิง 6 นัด ส่วนเพื่อนที่ถูกยิงทั้งหมดมี 7 คน เสียชีวิตที่โรงพยาบาลบาเจาะ 4 คน ไม่ใช่แค่ 2 คนตามที่เป็นข่าว และบาดเจ็บอีก 3 คน ขณะนี้ยังไม่พ้นขีดอันตราย ถ้ารอดมาได้ก็อาจจะพิการ เพราะทั้ง 3 คนต้องเข้ารับการผ่าตัดหลายอย่างเพื่อช่วยชีวิต"
เจ้าหน้าที่ทหารรายนี้ กล่าวต่อว่า สาเหตุหลักที่ทำให้พลทหารรุสลามก่อเหตุน่าจะเกิดจากความเครียดที่ต้องปฏิบัติงานในระยะเวลายาวนาน และใกล้จะถึงเวลาปลดในเดือน พ.ย. ขณะที่ผู้บังคับบัญชาเองก็ไม่ได้ลงไปดูแลอย่างใกล้ชิด ไม่ได้ไปพูดคุย จึงเกิดภาวะกดดันและเครียด ทำให้อารมณ์ของรุสลามระเบิด และก่อเรื่องอย่างที่ไม่มีใครคาดคิด
"ที่ผ่านมาเราได้พยายามชี้แจงกับญาติของทั้ง 2 ฝ่าย ทั้งแม่ของรุสลามเองและญาติของผู้ที่ถูกกระทำ (ทหารที่ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต) บอกตรงๆ ว่าในฐานะผู้บังคับบัญชาก็ลำบากใจเหมือนกันในการอธิบาย เพราะไม่อยากให้เกิดปัญหา แต่ละคนต่างมีลูก มีหลาน มีญาติพี่น้อง และคนที่สูญเสียต่างก็เป็นเสาหลักของครอบครัวกันทั้งนั้น ทำให้ครอบครัวต้องเจอกับปัญหา ทางเราก็พยายามดูแล และเกรงว่าญาติจะไม่เข้าใจ ยืนยันว่าทางราชการจะไม่ทอดทิ้ง"
ส่วนประเด็นที่เป็นข่าวว่าพลทหารรุสลามฆ่าตัวตาย นายทหารรายนี้ บอกว่า ไม่เข้าใจว่าข่าวออกอย่างนั้นได้อย่างไร เพราะเหตุการณ์จริงคือเกิดการชลมุนกันจนถูกยิง
"หลังเกิดเรื่องได้ไปส่งศพที่บ้านของรุสลาม แม่ของรุสลามถาม ก็อาจจะพูดอ้ำๆอึ้งๆ เพราะลำบากใจมาก อาจทำให้เข้าใจผิด ตอนไปส่งอีก 4 ศพก็เช่นเดียวกัน ในวันทำบุญครบ 7 วันของรุสลามผมก็ไป ถือว่าไปเยี่ยมกันเพราะเราไม่ทิ้งกัน" นายทหารผู้นี้ กล่าว
ตำรวจยันไม่ใช่ฆ่าตัวตาย-แม่รุสลามไม่ติดใจ
ด้าน พ.ต.ท.ประทีป สุขสาร สารวัตรเวร สภ.บาเจาะ ในฐานะพนักงานสอบสวนเจ้าของคดีนี้ กล่าวว่า ได้ทำสำนวนการสอบสวนโดยตั้งไว้ 2 ประเด็น คือ ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน หรือเป็นการป้องกันตัว ซึ่งจากสภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่มีการฆ่าตัวตายแน่นอน และจากสภาพศพก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นการฆ่าตัวตาย
ขณะที่ นางแมะ มอและ มารดาของพลทหารรุสลาม กล่าวว่า ไม่ได้ดูเอกสารชันสูตรศพจากโรงพยาบาล แต่ที่เชื่อว่าลูกไม่ได้ฆ่าตัวตายเองเพราะสังเกตจากบาดแผลตามร่างกาย อย่างไรก็ตาม ไม่ได้คิดจะเอาความอะไร เพราะรุสลามไปทำคนอื่นก่อน เพียงแต่อยากให้ยืนยันว่าไม่ได้ฆ่าตัวตายเท่านั้น
ยิงชาวบ้านดับที่ยี่งอ-กำนันสายบุรีหวิดสิ้นชื่อ
ด้านสถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ช่วงเทศกาลฮารีรายอ (6-7 พ.ย.) ไม่มีเหตุการณ์รุนแรงใดๆ เกิดขึ้น ส่วนหลังจากนั้นมีเหตุการณ์ความไม่สงบบ้างประปราย โดยเมื่อวันอังคารที่ 8 พ.ย.เวลา 19.45 น. คนร้ายไม่ทราบจำนวนใช้อาวุธปืนไม่ทราบชนิดและขนาดยิง นายอิสสะฮะ สะอุ อายุ 51 ปี อยู่บ้านเลขที่ 43/3 บ้านกูยิ หมู่ 5 ต.ตะปอเยาะ อ.ยี่งอ จ.นราธิวาส เสียชีวิตขณะเดินออกจากมัสยิดบ้านกูยิเพื่อกลับบ้าน เบื้องต้นตำรวจยังไม่สรุปสาเหตุการสังหาร
วันพุธที่ 9 พ.ย.เวลา 14.00 น.คนร้ายจำนวน 2 คนมีรถจักรยานยนต์เป็นพาหนะ ใช้อาวุธปืนสงครามประกบยิง นายอับดุลเลาะ สีวัน อายุ 53 ปี กำนัน ต.ละหาร อยู่บ้านเลขที่ 99 บ้านลากอ หมู่ 2 ต.ละหาร อ.สายบุรี จ.ปัตตานี กระสุนถูกบริเวณสีข้าง ได้รับบาดเจ็บ เหตุเกิดบริเวณสามแยกบ้านลากอ หมู่ 2 ต.ละหาร ขณะที่นายอับดุลเลาะขับรถยนต์เก๋งยี่ห้อฟอร์ด รุ่นเฟียสต้า สีแดง หมายเลขทะเบียน ญพ 6320 กรุงเทพมหานคร กลับจากทำธุระที่บ้านกำนัน ต.มะนังดาลำ อ.สายบุรี กำลังมุ่งหน้ากลับบ้าน เบื้องต้นตำรวจยังไม่สรุปสาเหตุการลอบยิง
ช่วงเช้าวันเดียวกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองยะลา ได้รับแจ้งจากพลเมืองดีว่าพบวัตถุต้องสงสัยวางอยู่ริมถนนเชิงสะพานท่าสาป ทางไปบ้านลิมุด หมู่ 1 ต.ท่าสาป อ.เมือง จ.ยะลา ห่างจากเรือนจำกลางยะลาประมาณ 500 เมตร จึงประสานชุดเก็บกู้วัตถุระเบิดเข้าตรวจสอบ พบวัตถุต้องสงสัยเป็นกล่องขนม มีเทปกาวปิดด้านบนกล่อง และมีนาฬิกาแบบดิจิตอล จึงได้เก็บกู้ทำลาย ปรากฏว่าภายในกล่องมีเพียงเศษใบไม้ สันนิษฐานว่าเป็นการสร้างสถานการณ์เพื่อเฝ้าดูวิธีการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่
จับยาบ้า-ยึดใบกระท่อมรายวัน
ด้านผลการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ตั้งแต่ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อค่ำวันอังคารที่ 8 พ.ย.เจ้าหน้าที่กองร้อยทหารพรานที่ 4610 ตั้งด่านตรวจบริเวณหน้าฐานปฏิบัติการบ้านไอร์บือแต หมู่ 4 ต.ช้างเผือก อ.จะแนะ จ.นราธิวาส และได้เรียกตรวจรถกระบะยี่ห้ออีซูซุ รุ่นดีแม็กซ์ สีบรอนซ์เงิน หมายเลขทะเบียน บฉ 7193 ปัตตานี พบยาบ้า 39 เม็ด เงินสดและอาวุธปืน 1 กระบอกพร้อมเครื่องกระสุน จึงควบคุมตัวบุคคลในรถไปดำเนินคดีที่ สภ.จะแนะ ได้แก่ นายมะนาเซ ยาคอ อยู่บ้านเลขที่ 241 หมู่ 9 ต.สากอ อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส และ นายวีระศักดิ์ เจ๊ะยะ อยู่บ้านเลขที่ 111/3 หมู่ 10 ต.สากอ อ.สุไหงปาดี
วันเดียวกัน หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 41 ได้จัดกำลังเข้าปิดล้อมตรวจค้นบ้านเมาะยี หมู่ 10 ต.กาบัง อ.กาบัง จ.ยะลา หลังจากได้รับแจ้งข้อมูลการข่าวว่า ผู้ก่อเหตุรุนแรงกลุ่มของ นายอัมดี กาหลง ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลจังหวัดยะลา ได้ลอบเข้าไปหลบซ่อนตัว
ผลการตรวจค้นไม่พบนายอัมดี แต่บริเวณสวนยางพาราพบกลุ่มวัยรุ่น 5 คน อายุประมาณ 20 ปีกำลังรวมตัวกันอยู่ เมื่อมองเห็นเจ้าหน้าที่จึงกระจายกันวิ่งหนี เจ้าหน้าที่ไล่ตามไม่ทัน แต่สามารถยึดของกลางเป็นใบกระท่อมสดจำนวน 13 กิโลกรัม น้ำใบกระท่อม 56 ถุง น้ำหนักถุงละครึ่งกิโลกรัม ยาแก้ไอและถังแก๊สจำนวนหนึ่ง
กู้กับระเบิดอีก 2 ลูกในสวนยางตากใบ
ด้านความคืบหน้าเหตุระเบิดเมื่อวันที่ 30-31 ต.ค.ต่อเนื่องถึง 1 พ.ย.บริเวณแปลงเพาะพันธุ์กล้ายางของ นางอรุณ แดงสุวรรณ ท้องที่บ้านใหญ่ หมู่ 3 ต.พร่อน อ.ตากใบ จ.นราธิวาส และทางเข้าสวนของยางพารา ด.ต.สุวัฒน์ อยู่จงดี บ้านโคกยาง หมู่ 5 ต.พร่อน อ.ตากใบ ทำให้ทั้งสองได้รับบาดเจ็บสาหัส และส่งผลให้ชาวบ้านในพื้นที่ ต.พร่อน อ.ตากใบ เกิดความหวาดกลัว ไม่กล้าเดินทางเข้าสวนเพื่อกรีดยางพารานั้น
ต่อมา กำนัน ต.พร่อน ได้ประสานไปยังนายอำเภอตากใบเพื่อแจ้งไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส ขอกำลังชุดเก็บกู้ทำลายวัตถุระเบิด (อีโอดี) เข้าไปให้ความรู้ เกี่ยวกับการสังเกตวัตถุต้องสงสัยให้แก่ราษฎรในพื้นที่ เพื่อกลับไปตรวจสอบที่สวนของตนเอง
ปรากฏว่าเมื่อวันพุธที่ 9 พ.ย.เวลา 12.45 น.ชาวบ้านในพื้นที่บ้านใหญ่ หมู่ 3 ต.พร่อน ได้ร้องขอให้ชุดอีโอดีของตำรวจเข้าไปตรวจสอบบริเวณใกล้เคียงกับจุดที่ระเบิดเมื่อปลายเดือน ต.ค. พบระเบิดแสวงเครื่องเป็นกับระเบิดแบบเหยียบบรรจุอยู่ในกระป๋อง จำนวน 2 ลูก ที่ทางเข้าสวนของ นายอัน เพชรแก้ว อายุ 59 ปี อยู่บ้านเลขที่ 144 บ้านใหญ่ หมู่ 3 ต.พร่อน และทางเข้าสวนของ นางนุ้ย ซุ่นบก อายุ 50 ปี อยู่บ้านเลขที่ 68 บ้านใหญ่ หมู่ 3 ต.พร่อน หากจากจุดแรกแค่ 50 เมตร เบื้องต้นเจ้าหน้าที่สามารถเก็บกู้วัตถุระเบิดดังกล่าวไว้ได้อย่างปลอดภัย
ตามรวบทีมบึ้ม-ยิงซ้ำทหารชุดลาดตระเวน 7 ศพ
เวลา 15.30 น.วันพุธที่ 9 พ.ย.หน่วยเฉพาะกิจยะลา 12 จัดกำลังร่วมกับตำรวจ สภ.จะกว๊ะ อ.รามัน จ.ยะลา และชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ในท้องที่ ต.จะกว๊ะ เข้าพิสูจน์ทราบสวนยางพาราที่บ้านเมเร หมู่ 3 ต.จะกว๊ะ พบโครงปืนส่วนบนของอาก้า กล้องเล็ง ชุดฝึกลายพรางและสีดำ หมวกเบเร่ต์ เป้ และอื่นๆ จึงยึดไปตรวจสอบหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์
ก่อนหน้านั้นเมื่อเย็นวันอังคารที่ 8 พ.ย. พ.ต.อ.พีระ บุญเลี้ยง รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดยะลา (รอง ผบก.ภ.จว.ยะลา) ได้นำกำลังเข้าจับกุมผู้ต้องหาคดีความมั่นคงที่เชื่อว่าเกี่ยวข้องกับการซุ่มโจมตีด้วยระเบิดและยิงซ้ำเจ้าหน้าที่ทหารชุดลาดตระเวนในพื้นที่ ต.เขื่อนบางลาง อ.บันนังสตา จ.ยะลา เมื่อวันที่ 15 มิ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งทำให้ทหารเสียชีวิตถึง 7 นาย
ผู้ต้องหารายนี้คือ นายซุฟยาน กามะ อายุ 27 ปี อยู่บ้านเลขที่ 90 หมู่ 11 บ้านป่าหวังนอก ต.บันนังสตา อ.บันนังสตา จ.ยะลา โดยหลักฐานที่นำมาสู่การขออนุมัติหมายจับและจับกุมตัวคือผลตรวจสารพันธุกรรม (ดีเอ็นเอ) จากวัตถุพยานในที่เกิดเหตุ ทั้งนี้ ภายหลังการจับกุม เจ้าหน้าที่ได้ส่งตัว นายซุฟยาน ไปดำเนินคดีที่ สภ.บันนังสตา
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บรรยายภาพ : นางแมะ มอและ มารดาของพลทหารรุสลาม ก้มหน้าดูรูปบุตรชายที่จากไปอย่างไม่มีวันกลับด้วยความเศร้า
อ่านประกอบ : น้ำตาของแม่พลทหารรุสลาม...กับความจริงอีกด้าน "ลูกก๊ะไม่ได้ฆ่าตัวตาย"