เอสซีจีตั้งเป้าทุ่มงบวิจัยและพัฒนาสินค้า 1.5 หมื่นล้าน
เอสซีจีทุ่มงบพัฒนาวิจัยสินค้านวัตกรรม 2 ปีข้างหน้า 15,000 ล้านบาท ชี้สินค้ามูลค่าเพิ่มตอบโจทย์ลูกค้า หวังพัฒนานวัตกรรมผู้สูงอายุต้อนรับสังคมผู้สูงวัย แนะรัฐบาลเอกชนร่วมมือผลักดันงานวิจัยและพัฒนาให้เกิดประโยชน์เชิงพาณิชย์อย่างแท้จริง

วันที่ 28 ตุลาคม 2558 บริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ เอสซีจี จัดแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนถึง “ผลการดำเนินงานประจำไตรมาสที่ 3 ปี 2558 ของเอสซีจี” ณ ฮอลล์ 1 อาคารอเนกประสงค์ ชั้น 10 เอสซีจี บางซื่อ โดยนายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่เอสซีจี
นายกานต์ กล่าวถึงการปรับตัวลดลงของราคาน้ำมันในตลาดโลกได้ส่งผลให้ราคาขายสินค้าเคมีภัณฑ์ปรับตัวลดลง ผลประกอบการของเอสซีจีในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้จึงอยู่ที่ 110,898 ล้านบาท ลดลง11% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 3% จากไตรมาสก่อน อย่างไรก็ตามยังคงมีกำไร 9,001 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 15%
สำหรับผลประกอบการ 9 เดือนของปี 2558 เอสซีจีมีรายได้จากการขาย 333,992 ล้านบาท มีกำไร 33,951 ล้านบาท
สำหรับธุรกิจของเอสซีจีในอาเซียนที่รวมรายได้จากฐานการผลิตและการส่งออกไปอาเซียนในไตรมาสที่ 3 นั้น นายกานต์ กล่าวว่า มีรายได้อยู่ที่ 24,945 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว โดยมียอดขายในประเทศเวียดนามเพิ่มขึ้น ซึ่งใน 9 เดือนของปี 2558 เอสซีจีมีรายได้จากฐานการผลิตและการส่งออกไปอาเซียน 74,791 ล้านบาท
กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี กล่าวถึงการพัฒนานวัตกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มสูง ว่า ตลอดระยะเวลา 9 เดือนของปี 2558 พบว่า สินค้าในกลุ่มนวัตกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มสูง (High Value Added Products & Services: HVA) เป็นกลุ่มสินค้าที่ลูกค้ามีความต้องการ โดยเอสซีจีมียอดขายสินค้ากลุ่ม HVA สูง ถึง 37% ส่วนสินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมภายใต้ตราสินค้าเอสซีจี อีโค แวร์ลู มียอดขาย 87,954 ล้านบาท หรือ 26%
"ภายในระยะเวลา 2 ปี เอสซีจีตั้งงบประมาณในการวิจัยและพัฒนาเรื่องนวัตกรรมประมาณ 15,000 ล้านบาท เพื่อจะพัฒนาสินค้าและบริการให้ตอบโจทย์ลูกค้าและตรงกับไลฟ์สไตล์มากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นนวัตกรรมเพื่อผู้สูงอายุเพื่อให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มีชีวิตที่สะดวกสบาย" นายกานต์ กล่าว และว่า หากภาครัฐและเอกชนร่วมมือกันผลักดันให้งานวิจัยและพัฒนาเกิดประโยชน์เชิงพาณิชย์อย่างแท้จริง สิ่งเหล่านี้ก็จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยให้ทัดเทียมกับนานาประเทศได้ นอกจากนี้เพื่อสร้างความแข็งแกร่งในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนในอาเซียน
นายกานต์ กล่าวอีกว่า เอสซีจีได้เปลี่ยนชื่อสินค้าจากตราช้าง เป็นเอสซีจี เพื่อให้ลูกค้าจดจำแบรนด์ได้ง่าย เกิดการเชื่อมโยงระหว่างสินค้ากับองค์กร ทำให้แบรนด์เอสซีจีมีพลังและแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมด้วยว่า เอสซีจีได้ประกาศแต่งตั้งกรรมการผู้จัดการใหญ่แทนนายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ ซึ่งจะครบกำหนดเกษียณอายุ ในวันที่ 31 ธันวาคม 2558 โดยคณะกรรมการบริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) มีมติแต่งตั้งให้ นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส เป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2559
