อ.เศรษฐศาสตร์จุฬา เล็งล่ารายชื่อช่วยคนจนน้ำท่วม ฟ้องรัฐบาล 3 ประเด็น
ทนายความ คณาจารย์ นักธุรกิจและปชช. เตรียมกลุ่มกว่า 5,000 คนยื่นฟ้องรบ.-ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จี้รับผิดชอบค่าเสียหาย ฉะหากไม่เร่งหามาตรการรับมือ ปีหน้าอ่วมแน่ ด้านรองโฆษกศาลปกครองแจงคดีเป็นเรื่องกว้าง ตัดสินได้ยาก
จากกรณีที่มีทนายความส่วนหนึ่ง ภาคประชาชนและคณาจารย์นำโดย รศ.ดร.ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประสานงานรวมกลุ่มเพื่อที่จะดำเนินการฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายจากรัฐบาล อันเนื่องมาจากการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมผิดพลาด จนทำให้ทรัพย์สินของประชาชน โดยเฉพาะคนยากจนเสียหายอย่างมาก
รศ.ดร.ณรงค์ กล่าวกับ ศูนย์ข้อมูลข่าวสารปฏิรูปประเทศไทยว่า ในช่วงแรกจะรวมกลุ่มเพื่อฟ้องร้องช่วยเหลือคนจนที่ไม่รู้ช่องทางเรียกร้องตามสิทธิ ให้รัฐบาลรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้น โดยจะรวบรวมข้อมูลที่นำไปสู่ประเด็นทางกฎหมาย และศึกษาช่องทางกฎหมายในการฟ้องร้อง จากนั้นจะเผยแพร่ออกไปให้ผู้ที่เข้าข่ายเดียวมาร่วมเป็นโจทก์ฟ้องร่วมได้ ซึ่งขณะนี้คนที่มาร่วมฟ้องกลับไม่ใช่แค่คนจน แต่เป็นคนทั่วไปที่เดือดร้อน มีทั้ง คนชั้นกลางและนักธุรกิจ ประเด็นนี้จึงกลายเป็นประเด็นสาธารณะ จึงต้องหาจุดร่วมของปัญหาและช่องทางกฎหมายต่อไป
“ทางกลุ่มจะฟ้องรัฐบาล และหน่วยงานรัฐบาลที่เกี่ยวข้อง ทั้งหมด 3 ประเด็น ได้แก่ 1.ประมาทเลินเล่อจนเกิดความเสียหาย 2.ออกคำสั่งปกครองจนเกิดความเสียหาย 3.ไม่ดูแลความสงบสุขตามหน้าที่ของผู้ปกครอง ทำให้ชาวบ้านทะเลาะกัน หรือพังเขื่อน”
รศ.ดร.ณรงค์ กล่าวต่อว่า ทางกลุ่มไม่ได้มีความคิดจะล้มรัฐบาลและไม่ได้ตั้งประเด็นว่าจะฟ้องนายกฯ ยิ่งลักษณ์ แต่ตนตั้งประเด็นว่าจะฟ้องหน่วยงานรัฐบาลที่เกี่ยวข้องให้ร่วมรับผิดชอบ ส่วนหน่วยงานนั้นจะพาดพิงว่า ทำตามคำสั่งใครก็เป็นสิทธิ์ของเขา เช่น กทม. กรมชลประทาน หรือการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยเกี่ยวข้องก็ต้องฟ้องทั้งหมด
“เราจะรักษาสิทธิ์ของผู้ที่เสียหายจากกรณีน้ำท่วม โดยมีทนายความ และผมเป็นผู้ประสานความช่วยเหลือและฟ้องร้อง ในส่วนการฟ้องร้องจะมองที่ศาลปกครองเป็นหลัก เพราะมีคำสั่งปกครองที่ก่อให้เกิดความเสียหาย เช่น สร้างเขื่อนกั้นกรุงเทพฯ ทำให้น้ำล้นฝั่ง และคนจนที่อยู่ชานเมืองได้รับความเสียหายหนักและยาวนาน แต่กลับไม่ได้รับค่าชดเชยอย่างคุ้มค่า" รศ.ดร.ณรงค์ กล่าว และว่า คนกลุ่มนั้นเอาชีวิตปกป้องคนรวยในกรุงเทพฯ แต่รัฐบาลกลับไม่ได้ดูแลเขาอย่างเต็มที่ การที่รัฐบาลจะช่วยเหลือด้วยเงิน 5,000 บาทเท่ากันทุกคน ถือว่า ไม่ถูก เพราะคนที่ต้องรับภาระมากกว่าก็ต้องได้รับการดูแลมากกว่า คนรวยอาจจะไม่ต้องได้รับเงินชดเชยค่าเสียหายทั้งหมด เพราะสามารถดูแลตัวเองได้ แต่สำหรับคนยากจน หาเช้ากินค่ำ เงินจำนวน 5,000 บาทมีความหมายกับเขามาก
อาจารย์เศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวด้วยว่า เมื่อการฟ้องร้องกลายเป็นประเด็นสาธารณะที่มีคนเตรียมจะร่วมฟ้องกว่า 5,000 คน หรืออาจจะถึง 30,000 คน ดังนั้นหากกฎหมายที่มีอยู่ไม่พอที่จะฟ้อง ก็อาจจะต้องแก้ไขกฎหมาย หรือเสนอกฎหมายของภาคประชาชนเข้าไป เช่น กฎหมายว่าด้วยความรับผิดชอบต่อความเสียหายจากการปกครอง ที่หวังว่าจะเกิดขึ้นได้จากเหตุการณ์ครั้งนี้
“การขับเคลื่อนทางสังคม กับการฟ้องร้องกลายนั้น เป็นเพียงมาตรการหนึ่งเท่านั้น โดยหวังว่า จะมีผลอื่นๆ ตามมา เช่น ขบวนการทางสังคมจะเน้นไปที่กระบวนการปฏิรูปกฎหมาย ปฏิรูประเบียบ ระบบราชกร ไม่อย่างนั้นเราจะเลี่ยงหายนะไม่ได้” อาจารย์เศรษฐศาสตร์จุฬาฯ กล่าว และว่า ถ้าดูตามสภาพแวดล้อม ภาวะน้ำท่วมครั้งนี้ ไม่ใช่ครั้งสุดท้าย ปีหน้าจะเกิดภาวะโซลาร์แฟลร์ ทำให้ฝนตกติดต่อกันทุกวันกินเวลาเป็นเดือน สถานการณ์จะหนักกว่านี้ ดังนั้น หากรัฐไม่วางมาตรการไว้ก่อน ก็จะเจอปัญหาซ้ำซาก ดังนั้น ผู้ปกครองรัฐ ต้องเริ่มคิดมาตรการในภายภาคหน้า ศึกษาความผิดพลาดและหาทางแก้ไข ไม่ใช่พูดแค่เรื่องเงินฟื้นฟูแสนล้านบาท แต่ปล่อยให้ปีหน้าน้ำท่วมใหม่ แล้วก็ฟื้นฟูกันใหม่อย่างนี้ไม่ได้ ก่อนจะฟื้นฟูต้องรู้ด้วยว่าปัญหามาจากอะไร
คดีพิจารณายาก รบ.โต้แย้งได้ง่าย
ขณะที่นายวชิระ ชอบแต่ง รองโฆษกศาลปกครอง กล่าวเกี่ยวกับกรณีนี้ว่า หากมีการฟ้องร้อง คดีนี้เข้าข่ายเป็นคดีปกครอง เนื่องจากเป็นเรื่องการที่รัฐใช้อำนาจเพื่อแก้ปัญหาประโยชน์สาธารณะอย่างหนึ่ง และทำให้คนอีกกลุ่มหนึ่งเสียประโยชน์ไป ซึ่งการจะยื่นฟ้องต่อศาลปกครองต้องมีฐานในการใช้อำนาจในทางไม่ชอบ และต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าไม่ชอบอย่างไร
“กรณีนี้ต้องมองกันอย่างลึกซึ้ง เพราะมีความยากในการพิจารณาคดี เนื่องจากทั้งสองฝ่ายสามารถมีข้อโต้แย้งกันและกันได้ รวมทั้งมีหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แต่ทั้งนี้ หากจะทำการยื่นฟ้องรัฐบาลต่อศาลปกครองนั้นสามารถทำได้ แต่ศาลจะรับฟ้องหรือไม่ต้องพิจารณากันต่อไป”
รองโฆษกศาลปกครอง กล่าวต่อว่า คำว่า “ฟ้องรัฐบาล” เป็นคำที่ค่อนข้างกว้าง ต้องเจาะจงลงไปว่าจะเป็น กระทรวง กรม หรือเป็นหน่วยงานใด ต้องพูดให้ชัดเจน และต้องดูว่าเรื่องที่ทำให้เกิดความเสียหาย เป็นเรื่องที่เกิดจากการใช้อำนาจหรือไม่ ซึ่งยังไม่ชัดเจนว่ารัฐจะต้องรับผิดในทุกกรณี ต้องดูย่อยลงไปว่าใครมีหน้าที่ในการบริหารจัดการส่วนไหน อย่างไร
“กรณีนี้เป็นการป้องกันอุทกภัย ยกตัวอย่างเช่น การไปทำคันกั้นน้ำจนเป็นเหตุให้ราษฎรที่อยู่นอกคันกั้นน้ำได้รับความเดือดร้อน ผู้ที่ได้รับความเสียหายก็สามารถฟ้องได้ เพียงแต่ศาลต้องพิจารณาดูอีกครั้งว่า จะรับฟ้องหรือไม่ เพราะต้องดูการกระทำนั้นเป็นอำนาจทางกฎหมายหรือกิจการทางปกครอง จึงเป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะไม่ได้เป็นการละเลยต่อหน้าที่โดยตรง เช่น อย่างกรมชลประทานก็จะบอกว่าได้ทำตามหน้าที่แล้ว เป็นต้น”
นอกจากนี้ รองโฆษกศาลปกครอง กล่าวถึงเรื่องเงินชดเชย 5 พันบาทว่า ตนยังไม่แน่ใจว่าเป็นไปตามอำนาจหน้าที่หรือเป็นมติ ครม.ที่ออกมาในเรื่องของการเยียวยา เพราะตัวเลขนี้ไม่มีหลักเกณฑ์ที่แน่ชัด ไม่เหมือนกับกรณีเวนคืนที่ดินที่ระบุตัวเลขชดเชยไว้ชัดเจน ทั้งนี้ เรื่องนี้เป็นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า
นายวชิระ กล่าวต่อว่า เบื้องต้นต้องพิจารณาหลักดังนี้ 1.ฟ้องศาลปกครองได้แน่นอน เพราะเป็นการใช้อำนาจของหน่วยงานที่ใช้อำนาจจัดการภัยพิบัติสาธารณะ 2.ถ้าจะฟ้อง ต้องฟ้องหน่วยงานหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้อง คำว่า รัฐบาลมันกว้างเกินไป ต้องเจาะจงฟ้องว่าจะฟ้องกรม กระทรวง หรือ ครม. หรืออธิบดีกรม 3. คนที่มาฟ้องต้องเป็นผู้เสียหาย หรืออาจะเป็นการฟ้องแทนก็สามารถทำได้ แต่ทั้งนี้ผู้ที่มาฟ้องแทนต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกันพอสมควร 4.ในขั้นตอนที่ศาลจะรับฟ้องได้หรือไม่ ต้องพิจารณาถึงเงื่อนไขในการฟ้องคดี และเวลาต่างๆเป็นองค์ประกอบอีก
“เมื่อเข้าสู่กระบวนศาลต้องเป็นเรื่องของการใช้อำนาจมาทำให้เกิดผลกระทบ ซึ่งในที่สุดในการฟ้องคดี อยากให้มองไปไกลๆ เมื่อฟ้องแล้วอาจเป็นเรื่องของกรมชลฯ ใช้อำนาจตามกฎหมายในการที่จะเปิดปิดประตูระบายน้ำ แต่ในที่สุดแล้วในการใช้อำนาจในการเปิดปิดประตูระบายน้ำ ก็มีอำนาจหน้าที่ในการป้องกันน้ำท่วมอยู่แล้ว ฉะนั้นผลของคดีที่ออกมาอาจไม่เป็นไปตามที่เราต้องการได้”
