เอแบคโพลล์ชี้ “ชาวบ้านเชื่อมีทุจริตงบน้ำท่วม” แนะระดมเงินตั้ง “กองทุนรับมือภัยพิบัติอนาคต”
เอแบคโพลล์ วิจัยการเมืองในภัยพิบัติน้ำท่วม สะท้อนเสียงประชาชนส่วนใหญ่เชื่อมีการทุจริตเงินบริจาค-คอรัปชั่นงบประมาณฟื้นฟูเยียวยา-เลือกปฏิบัติช่วยเหลือผู้ประสบภัยตั้งแต่ระดับชาติจนถึงท้องถิ่น เสนอไอเดียระดมจิตศรัทธาตั้งกองทุนรับมือภัยพิบัติอนาคต
ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจเรื่อง “การเมืองกับภัยพิบัติน้ำท่วมและทางออกในสายตาของสาธารณชน” กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไปใน 17 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร แพร่ ลำปาง นครสวรรค์ เพชรบุรี ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรี หนองคาย สกลนคร สุรินทร์ อุดรธานี ขอนแก่น นครราชสีมา ตรัง สงขลา นครศรีธรรมราช 2,419 ตัวอย่าง ระหว่าง 5 - 12 พ.ย. 54
เกินกว่า 1 ใน 4 หรือร้อยละ 27.6 เป็นผู้ประสบภัยพิบัติน้ำท่วม ในขณะที่ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 72.4 ไม่ประสบปัญหา โดยประชาชนส่วนใหญ่หรือร้อยละ 92.5 คิดว่าเป็น “หน้าที่” ของทุกคนในชาติต้องช่วยกันก้ไขปัญหาภัยพิบัติครั้งนี้ ขณะที่ร้อยละ 7.5 คิดว่าเป็นหน้าที่ของรัฐบาลฝ่ายเดียว ร้อยละ 75.0 ไม่คิดว่ามีนักการเมืองคนใดจะทำหน้าที่แก้ปัญหาน้ำท่วมได้ดีกว่านางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรนายกรัฐมนตรี ขณะที่ร้อยละ 25.0 คิดว่ามี ร้อยละ 97.8 ระบุ คนไทยช่วยไทยคือทางออกแก้ไขปัญหาภัยพิบัติครั้งนี้ และร้อยละ 96.7 คิดว่า ความรักความสามัคคีของคนในชาติคือทางออก
ร้อยละ 92.5 ระบุรัฐบาลทำงานร่วมกับทุกภาคส่วนแก้ปัญหาน้ำท่วมต่อไปคือทางออก ร้อยละ 91.0 ระบุรัฐบาลต้องทำงานใกล้ชิด เลิกขัดแย้งกับกรุงเทพมหานคร ร้อยละ 70.4 ระบุ การปรับคณะรัฐมนตรีไม่ใช่ทางออก ร้อยละ 83.3 ระบุนายกรัฐมนตรีลาออกไม่ใช่ทางออกเช่นกัน ร้อยละ 93.1 ระบุการยึดอำนาจหรือปฏิวัติไม่ใช่ทางออกของประเทศในการแก้ไขปัญหาภัยพิบัติน้ำท่วม
ประชาชนร้อยละ 51.7 คิดว่ามีการเลือกปฏิบัติของฝ่ายการเมืองระดับชาติในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติน้ำท่วม และร้อยละ 55.7 คิดว่ามีการเลือกปฏิบัติของฝ่ายการเมืองระดับท้องถิ่นเช่น อบจ. อบต. กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ร้อยละ 63.5 คิดว่ามีการทุจริต คอรัปชั่นเงินบริจาค ช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติหรือการนำถุงยังชีพทั้งในส่วนของภาครัฐและเอกชน ร้อยละ 68.2 กังวลว่าจะมีการทุจริต คอรัปชั่นในการใช้งบประมาณเยียวยาและฟื้นฟูผู้ประสบภัยพิบัติน้ำท่วม
ผ.อ.เอแบคโพลล์ มีข้อเสนอแนะดังนี้ ประการแรก รัฐบาล ฝ่ายค้าน หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ที่เชิญชวนให้มีการบริจาคเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติน้ำท่วมน่าจะเปิดเผยต่อสาธารณชนผ่าน world wide web ของหน่วยงานตนเองว่า ใครมีอำนาจลงนามเบิกจ่ายได้ และแจกแจงการเคลื่อนไหวของบัญชีให้สาธารณชนสามารถแกะรอยการใช้จ่ายงบประมาณว่าไปถึงมือของประชาชนผู้ประสบภัยพิบัติจริงหรือไม่ควรติดประกาศให้สาธารณชนทราบเป็นการยกย่องให้เครดิตผู้มีจิตเมตตาช่วยเหลือเ
ประการที่สอง เสนอให้ฝ่ายการเมืองทั้งระดับชาติและท้องถิ่นไม่เลือกปฏิบัติ น่าจะนำ “ธงชาติไทย” เป็นสัญญลักษณ์ประจำหมู่บ้าน ประจำศูนย์ที่พักพิง ไม่น่าจะมีธงสัญญลักษณ์อื่นใดมาเป็นเครื่องหมายเพื่อรับการช่วยเหลือหรือการเยียวยาใดๆ อาจนำแนวคิดการระดมเงินทุนสำหรับภัยพิบัติต่างๆในอนาคตหรือพื้นที่อื่นด้วยการจำหน่าย “สายรัดข้อมือ” หรือสติกเกอร์ติดรถยนต์รณรงค์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมที่จะได้ทั้งเงินกองทุน และทุนทางสังคม
ประการที่สาม ฝ่ายการเมืองและผู้ใหญ่ในสังคมไทยอาจใช้จังหวะนี้นำไปสู่ “โรดแมปแห่งความปรองดอง” ให้เครดิตทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เสนอให้นายกรัฐมนตรี จัดเวทีขนาดใหญ่ยกย่องเชิดชูบุคคลทั้งระดับสูงและระดับผู้ปฏิบัติงานภาคสนามและหน่วยงานสำคัญที่ช่วยทำงานอย่างหนักช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ แต่ที่สามารถทำได้เลยในเวลานี้คือ ทุกครั้งที่มีการแถลงข่าวของ ศปภ.น่าจะกล่าวชื่นชมหน่วยงานและบุคคลอื่นๆที่ทำงานจริงทำงานหนัก เพราะที่ผ่านมามักจะกล่าวถึงชื่อของคนกันเองภายใน ศปภ.
ประการที่สี่ จังหวะนี้น่าจะเป็นวาระของคนทั้งชาติที่ช่วยกันรักษาเสถียรภาพทางการเมืองหรือความมั่นคงของประเทศ เพราะมีผู้นำฝ่ายค้านที่แสดงออกว่าการลาออกของนายกรัฐมนตรีไม่ใช่ทางออก ดังนั้น และนายกรัฐมนตรีผู้นำฝ่ายรัฐบาลคงไม่มีจิตใจมุ่งร้ายห่ำหั่นกัน อาจสร้างธรรมเนียมการเมืองว่ารัฐบาลแต่ละชุดที่ผ่านการเลือกตั้งมีอายุการทำงานอย่างน้อยสี่ปีเพื่อให้มีความจริงจังต่อเนื่องในเชิงนโยบายและยุทธศาสตร์หรือการวางตัวบุคคลที่เหมาะสมทำงานรับใช้สาธารณชน เพราะที่ผ่านมา เมื่อเปลี่ยนรัฐบาล เปลี่ยนนโยบาย เปลี่ยนหัวหน้าหน่วย ทิศทางการขับเคลื่อนสังคมไทย “อำนาจและผลประโยชน์” เปลี่ยนมือกันไป แต่ความทุกข์ยากของประชาชนส่วนใหญ่ทั้งประเทศเหมือนเดิม .
ที่มาภาพ :http://www.oknation.net/blog/bypunnee/2011/10/19/entry-1
