เชฟรอน จับมือ ม.สงขลานครินทร์ มอบแบบการผลิตยางแผ่นรมควันแก่ 29 สหกรณ์กองทุนสวนยาง
"อาคารโรงรมควันยางแผ่นและบ่อบำบัดน้ำเสียของเราใช้งานมาแล้ว 20 ปี มีสภาพทรุดโทรมไปตามเวลา ก็มีการซ่อมบำรุงอยู่ตลอดเลยทำให้สหกรณ์มีต้นทุนมากขึ้นด้วย และเดี๋ยวนี้ราคาฟืนสำหรับเป็นเชื้อเพลิงหลักในการรมยางก็ขึ้นราคา ต้นทุนสูงขึ้นมาก สวนทางกับราคายางพาราที่กลับลดลงต่อเนื่อง สมาชิกก็รายได้ลดลงไปตามสัดส่วน หลายครอบครัวก็เดือดร้อนเพราะรายได้ไม่พอ" คำบอกเล่าของ ขนิษฐา วงศ์เพชร กรรมการสหกรณ์กองทุนสวนยางบ้านยางทอง อ.กระแสสินธุ์ จ.สงขลา

ด้านภาฤทธิ์ หัสราม กรรมการสหกรณ์กองทุนสวนยางบ้านทรายขาว ยังเล่าว่า “เราได้รวมกลุ่มกันในรูปแบบสหกรณ์ เพื่อรวมน้ำยางสดจากสมาชิกแล้วนำมาผลิตยางรมควันเพื่อจัดจำหน่าย ต้องยอมรับว่าที่ผ่านมาการผลิตยางของกลุ่มสหกรณ์เราอาจก่อให้เกิดน้ำเสียลงสู่ชุมชนและส่งกลิ่นรบกวนชาวบ้านในชุมชนละแวกใกล้เคียง ซึ่งโครงการพลังงานและสิ่งแวดล้อมฯ ที่ทางเชฟรอนและสถาบันวิจัยระบบพลังงานเข้ามาให้การสนับสนุนจะเป็นหนึ่งในโครงการที่ช่วยแก้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่มีต่อชุมชนและยังช่วยลดต้นทุนในการรมควันแผ่นยางอีกด้วย นับว่าตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มสหกรณ์และชาวบ้านในชุมชนอย่างมาก โดยเฉพาะการทำห้องรมประหยัดพลังงาน จะช่วยให้ สกย.ลดต้นทุนที่เป็นค่าใช้จ่ายในการซื้อฟืนมาทำเชื้อเพลิงลงได้ เท่ากับว่าผลกำไรของ สกย.ก็มากขึ้น ก็สามารถปันผลให้แก่สมาชิกได้มากขึ้นด้วย”
เพื่อเป็นการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นกับชุมชน พร้อมปรับปรุงกระบวนการผลิตยางแผ่นรมควันให้กับเกษตรกรชาวสวนยางให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น สถาบันวิจัยระบบพลังงาน มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ภายใต้การสนับสนุนงบประมาณจากบริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด จึงได้ดำเนินโครงการ “พลังงานและสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืนเพื่อสหกรณ์กองทุนสวนยาง” เพื่อสร้างต้นแบบการผลิตยางรมควันที่ใช้เทคโนโลยีเพื่อประหยัดพลังงานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อีกทั้งช่วยประหยัดต้นทุนให้แก่กลุ่มสหกรณ์กองทุนสวนยางทั้ง 29 กลุ่ม
ไพโรจน์ กวียานันท์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด กล่าวว่า “การสนับสนุนโครงการนี้ สอดคล้องกับการดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคมของเชฟรอนใน 2 ด้านทั้งในด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและพลังงาน และด้านการพัฒนาเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิต เนื่องด้วยเทคโนโลยีการผลิตยางแผ่นรมควันจะสามารถช่วยลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกและลดผลกระทบจากการทิ้งน้ำเสียที่เกิดขึ้นในกระบวนการผลิต โครงการฯ นี้จะทำให้เกิดต้นแบบในการปรับปรุงระบบบำบัดน้ำเสียและห้องรมควันยาง อันจะทำให้มีผู้ได้รับผลประโยชน์โดยตรงกว่า 6,000 คน อีกทั้งเป็นการกระตุ้นให้ตระหนักถึงความสำคัญของสิ่งแวดล้อมและพลังงานในหมู่เกษตรกรชาวสวนยางซึ่งจะทำให้อุตสาหกรรมการผลิตยางแผ่นรมควันอยู่ร่วมกับชุมชนได้ จึงเชื่อมั่นว่าโครงการนี้จะสามารถช่วยแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด”
รศ.ดร.สุเมธ ไชยประพัทธ์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบพลังงาน มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ในฐานะหัวหน้าโครงการพลังงานและสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืนเพื่อสหกรณ์กองทุนสวนยาง กล่าวว่า “จากการเก็บข้อมูลพื้นฐานและข้อมูลทางวิศวกรรมในกระบวนการผลิตยางรมควันของกลุ่มสหกรณ์สวนยาง เราพบว่า มีน้ำเสียถูกปล่อยออกมาจากกระบวนการผลิตยางแผ่นรมควัน ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทั้งมลพิษทางน้ำและมลพิษทางอากาศที่ส่งกลิ่นรบกวนชุมชนบริเวณใกล้เคียงและรวมทั้งการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อน ดังนั้นเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว ทางสถาบันได้ทำการวิจัยและคิดค้นระบบการผลิตและใช้งานก๊าซชีวภาพที่ผลิตจากน้ำเสียสำหรับสหกรณ์และระบบห้องรมควันประหยัดพลังงาน ทั้งนี้ได้มีการประเมินราคาก่อสร้างเทคโนโลยีเพื่อประหยัดพลังงานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมดังกล่าวให้เหมาะสมกับแต่ละสหกรณ์เพื่อดำเนินการต่อไป”
ขนิษฐาบอกอีกว่า “โครงการวันนี้มีประโยชน์กับสกย.มากๆ เพราะสามารถนำองค์ความรู้ เทคนิคต่างๆ ทั้งเรื่องของการตลาด เรื่องกระบวนการผลิตเพื่อลดต้นทุน รวมถึงแบบก่อสร้างที่มอบให้ สกย. ทุกแห่ง ซึ่งทราบว่าเป็นการออกแบบโดยวิศวกรและนักวิจัย สามารถนำไปใช้ในการสร้างห้องรมยางที่ประหยัดพลังงาน รวมถึงการทำบ่อหมักร่วมผลิตก๊าซชีวภาพ เป็นการใช้ประโยชน์จากน้ำเสียให้สามารถใช้เป็นเชื้อเพลิงหมุนเวียนในการรมยาง ซึ่งทางตัวแทน สกย.บ้านยางทองที่มาวันนี้ ก็จะนำข้อมูลที่ได้ไปประชุมกับคณะกรรมการ สกย.ต่อไป”
โครงการ “พลังงานและสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืนเพื่อสหกรณ์กองทุนสวนยาง” เป็นการดำเนินโครงการและสนับสนุนงบประมาณจาก บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด ที่ร่วมกับบริษัทผู้ร่วมทุน โดยให้การสนับสนุนทั้งสิ้นกว่า 3,000,000 บาทแก่สถาบันวิจัยระบบพลังงานมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เพื่อสร้างต้นแบบการผลิตยางรมควันที่ใช้เทคโนโลยีเพื่อประหยัดพลังงานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ให้แก่ 29 กลุ่มสหกรณ์สวนยางในพื้นที่ 5 จังหวัดภาคใต้ ได้แก่ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช สงขลา และปัตตานี โดยเริ่มจากการสำรวจข้อมูลพื้นฐานและข้อมูลทางวิศวกรรมของระบบการผลิตยางแผ่นรมควัน ระบบบำบัดน้ำเสีย และระบบรมควันยาง จากนั้นนำมาจัดทำแบบบ่อก๊าซชีวภาพ รวมถึงการศึกษาและพัฒนาแบบระบบห้องรมควันประหยัดพลังงานมาตรฐาน
