‘อุดม’ไขประเด็น รธน. ที่มา สว. สรรหา ระบบเลือกตั้ง ส.ส.ใครได้ใครเสีย?
แน่นอนว่าเก้าอี้ที่นั่งส.ส.มีการเปลี่ยนแปลงแน่ สัดส่วนส.ส.ในสภาฯ ก็จะเปลี่ยนแปลงเพราะเสียงของผู้แพ้ถูกนำมาคำนวณด้วย ..เพราะฉะนั้นการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต มันก็อาจจะมีที่แปรเปลี่ยนบางส่วน

กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.)กำลังดำเนินไป โดยเริ่มมีการหารือกันถึงประเด็นสำคัญ ๆ ที่หลายฝ่ายจับตามอง เช่น ระบบการเลือกตั้งส.ส.-การได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา –ที่มาของนายกรัฐมนตรี อันพบว่าพอกรธ.มีการหารือในประเด็นเรื่องเหล่านี้ออกมาแม้จะไม่มีข้อสรุปอย่างเป็นทางการว่าจะร่างรธน.ออกมาแบบไหน แต่ก็สร้างเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมาทั้งเห็นด้วย-ไม่เห็นด้วยอย่างมากมาย อันพบว่าเสียงคัดค้านที่ดังออกมากับหลักคิดของกรธ.ดูจะดังกล่าวเสียงสนับสนุน
“ดร.อุดม รัฐอมฤต-กรรมการร่างรธน.”ที่เป็นหนึ่งใน”คณะอนุกรรมการศึกษาโครงสร้างฝ่ายนิติบัญญัติในคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ” ที่ล่าสุดตอนนี้ได้รับการแต่งตั้งจากที่ประชุมกรธ.ให้เป็นโฆษกคณะกรรมการร่างรธน.ด้วย เปิดห้องรับรองที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้”ทีมข่าวสำนักข่าวอิศรา”ซักถามทิศทางการร่างรธน.ในสองประเด็นที่ผู้คนสนใจกันอย่างมากในช่วงนี้คือ”ที่มาสว.-ระบบเลือกตั้งส.ส.”
เมื่อเริ่มต้นการพูดคุย “ดร.อุดม-กรธ.”ลำดับแนวคิดและเหตุผลเรื่องที่มาสว.ซึ่งถึง ตอนนี้มีความชัดเจนระดับหนึ่งว่ามีแนวโน้มแล้วที่กรธ.จะไม่ให้มีสว.ที่มาจากการเลือกตั้งอีกต่อไป รวมถึงไม่ให้วุฒิสภามีอำนาจการถอดถอนเช่น ถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอีกต่อไป
โดยเขากล่าวว่า หลักคิดของกรรมการร่างรัฐธรรมนูญคือ เราคิดว่าสว.ควรจะมีสถานะที่มีความเป็นกลางทางการเมืองสูง จะไม่ใช่สภาที่ประกอบไปด้วยสมาชิกที่ไปมีความสัมพันธ์กับส.ส.เหมือนกับเป็นคนกลุ่มเดียวกันแบบนี้ไม่ได้ เพราะไม่เช่นนั้น การให้สองสภาคือสภาผู้แทนราษฏรและวุฒิสภาก็ไม่มีประโยชน์
ดังนั้นถ้าให้ส.ส.กับสว.มีที่มาเหมือนกันหรือมีสถานะทางการเมืองเหมือนกัน มันจะทำให้กลไกที่เราจะสร้างวุฒิสภาจะไม่มีประโยชน์ทันที เพราะไม่เช่นนั้นก็ให้มีสภาเดียวก็พอแล้ว ไม่อย่างนั้นจะเอาสภาหนึ่งมาคุมอีกสภาหนึ่งโดยมีที่มาแบบเดียวกัน เมื่อต้องการให้วุฒิสภามีความเป็นอิสระ มันทำให้กรรมการร่างรธน.ต้องกลับมาคิดกันว่าที่ผ่านมา ทำไมถึงมีฝ่ายการเมืองเข้าไปแทรกแซงมาก ด้านหนึ่งอาจเป็นเพราะด้วยบทบาทอำนาจหน้าที่ของสว. เช่น การให้ความเห็นชอบกรรมการองค์กรอิสระ หรือการใช้อำนาจสว.ในการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยเฉพาะบทบาทในการถอดถอน ประกอบกับอีกทางหนึ่งเราก็มองว่าแม้ที่ผ่านมาของสว.ที่ให้มาจากการเลือกตั้ง
ตรงนี้เป็นสาเหตุสำคัญไม่ว่าจะมองหัวหรือมองท้าย เพราะการให้คนไปลงสมัครรับเลือกตั้งมันยาก ที่จะบอกว่าแล้วจะปลอดจากการเมือง เพราะเหตุที่ว่า ประชาชนจำนวนมากจะไปลงคะแนนให้กับใครมันมีปัจจัยไม่กี่อย่างที่ทำให้เขาได้รับเลือกเช่นหนึ่งการเป็นบุคคลที่สังคมรู้จักเพราะเคยประกอบอาชีพต่าง ๆ มาก่อน อาทิ นักแสดง หรือเป็นคนที่มีบทบาท ภารกิจจนมีประชาชนรู้จักจำนวนมาก แต่โดยทั่วไป ปัจจัยที่สองที่สำคัญคือฝ่ายการเมืองแนะนำ การเลือกตั้งจำนวนมากต้องไปทำสายสัมพันธ์กับทางฝ่ายการเมือง ที่เขาคุมพื้นที่มวลชน
“ดร.อุดม” กล่าวต่อไปว่า ก็เป็นเหตุที่มาที่ทำให้เราเข้าใจได้ว่าทำไมวุฒิสภาถึงถูกแทรกแซงและครอบงำจากฝ่ายการเมืองได้ง่ายเพราะเขามาจากการเลือกตั้ง และการเลือกตั้งเขาจำเป็นต้องอาศัยกลไกฐานเสียงทางการเมือง แม้จะไม่สังกัดพรรคการเมืองแต่ก็ต้องอาศัยฐานพรรคการเมืองทางใดทางหนึ่ง เมื่อเราต้องการให้วุฒิสภาเป็นอิสระ ปลอดจากการเมือง เราก็ต้องมาคิดกันว่า ทำยังไง ให้บทบาทหน้าที่ และที่มาของเขาในครั้งนี้จึงต้องมีการปรับเปลี่ยน
เมื่อดูจากการระบบการเมืองไทยที่ผ่านมาจะพบว่าเรื่องที่มาสว.เราก็มีมาแล้วทั้งที่มาจากการแต่งตั้งทั้งหมด มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด และรูปแบบที่ 3 สว.เลือกตั้งกับสว.ที่มาจากการสรรหาอยู่ด้วยกัน ที่เรียกกันปลาสองน้ำ
ในส่วนของสว.ที่ให้มาจากการสรรหาก็มีปัญหาว่าใครเป็นฝ่ายไปเลือก ที่ผ่านมา ก็เลยให้กรรมการสรรหามาจากตำแหน่งสำคัญต่างๆ เช่นจากฝ่าย ตัวแทนองค์กรอิสระ ซึ่งแน่นอนว่าบุคคลเหล่านี้น่าเชื่อถือ แต่ปัญหาคือว่าบุคคลที่จะมาให้คัดเลือก คนไหนคือคนที่ดีที่สุด ซึ่งสังคมก็ยังตั้งคำถามในทำนองว่าเพราะสนิทสนมกันเป็นการส่วนตัวหรือเปล่า แล้วก็มีการวิจารณ์ว่าไม่ยึดโยงกับประชาชน
..เรื่องที่มาสว.อนุกรรมการยังไม่ได้มีการออกมาเป็นความเห็นของอนุกรรมการ แต่ที่ประชุมใหญ่กรธ.ล่วงหน้าไปก่อนแล้ว เพราะก่อนหน้านี้กรธ.ก็ได้คุยกันมาก่อนแล้ว อีกทั้งประธานอนุกรรมการ(ประพันธ์ นัยโกวิท) ก็บอกว่าไหน ๆ ก็คุยกันมาแล้ว ก็ขอให้ที่ประชุมใหญ่กรธ.ชี้แนะแนวทางเรื่องที่มาสว.ไปเลย
ที่ประชุมก็คุยกันว่าเรื่องที่มาสว.จะมีวิธีการได้มาในรูปแบบอื่นนอกจากที่เคยมีมาได้อีกหรือไม่ เช่นการให้สว.มาจากกลุ่มวิชาชีพ หรือกลุ่มที่อาจเรียกว่ากลุ่มผลประโยชน์ ที่สามารถครอบคลุมคนในบ้านเมืองได้หลากหลายเช่น ทางสภาอุตสาหกรรม แพทยสภา สภาทนายความ กลุ่มแรงงาน คือให้มันกว้าง อย่าไปจำกัดแค่เฉพาะกลุ่ม แต่ที่คุยกันแล้วเป็นประเด็นกันมากคือแล้วกลุ่มบุคคลที่อาจไม่มีกลุ่ม จะไปเอามาจากทางไหน
-ที่ประชุมใหญ่กรธ.มีการคุยกันไหมว่า ข้อดี ข้อเสีย ของที่มาสว.แต่ละรูปแบบเป็นอย่างไร?
อันหนึ่งที่เห็นกันก็คือการที่ให้มีสองสภา ก็เพราะคาดหวังว่าวุฒิสภา จะเป็นองค์กรที่ช่วยกลั่นกรองฝ่ายการเมือง ไม่ได้คิดว่าจะให้วุฒิสภามีลักษณะเป็นองค์กรการเมืองอีกหนึ่งองค์กร มันก็ต้องมาคิดกันว่าหากเราจะดีไซน์วุฒิสภาไม่ให้เหมือนสภาผู้แทนราษฎร ถ้าให้มาจากการเลือกตั้ง วุฒิสภาก็จะไปซ้ำกับสภาผู้แทนราษฎรแน่นอน
ในต่างประเทศเรื่องที่มาสว.เขามีรูปแบบหลัก ๆ เช่น การเลือกตั้งทางตรง เช่น สหรัฐอเมริกา ที่ให้สว.มีสถานะเป็นผู้แทนมลรัฐ โดยมลรัฐหนึ่งเลือกสว.ได้ 2 คน ขณะที่การเลือกตั้งสว.ทางอ้อม ก็มีคือที่ฝรั่งเศส ที่ให้ตัวแทนประชาชนในเขตพื้นที่เช่น นักการเมืองท้องถิ่น –ส.ส. มาเป็นคนเลือกคนที่จะมาเป็นสว.
“ระบบเลือกเราก็เห็นแล้วว่าก็คือผู้แทนของสายการเมือง แต่ถามว่าทำไมของสหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส เขาถึงมีความชอบธรรม ก็เพราะสว.ของเขา เป็นผู้แทนพื้นที่ ไม่ใช่ผู้แทนของประชาชนในพื้นที่ เป็นผู้แทนมลรัฐ สว.ของเขาจึงชัดเจน คือเจาะอยู่ในพื้นที่ แต่ถามว่าของเราหากจะไปทำแบบเขา คือไปให้สว.เจาะอยู่ในพื้นที่ทั้งที่มีส.ส.อยู่แล้ว เพราะแบบนั้นท้ายที่สุดทุกคนก็จะไปเกาะกันอยู่ในพื้นที่แบบนั้น ไปคุมพื้นที่หมด”
“ดร.อุดม-กรรมการร่างรธน.” อธิบายข้อดีของแนวคิดให้มีสว.มาจากการสรรหาโดยวิชาชีพอีกว่า ด้วยหลักคิดดังกล่าวข้างต้น กรธ.ต้องมาดีไซน์เรื่องสว.ของเราว่าวุฒิสภาจะให้เป็นอย่างไร ถ้าให้เป็นสภากลั่นกรองแบบเดิม ถามว่ามันกลั่นกรองได้ไหม ผมคิดว่ามันกลั่นกรองไม่ได้ เพราะเขาก็คือนักการเมืองที่พรรคการเมืองส่งไป แล้วจะไปกลั่นกรองอะไร ถามว่าเมื่อเลือกส.ส.มาอย่างไร แล้วพอไปเลือกสว.มันจะแตกต่างกันหรือไม่ ซึ่งมันก็อาจแตกต่างน้อย ในการคิดของเรา ต่อมาก็เลยไปบอกว่าให้นำเอาผู้ทรงคุณวุฒิเข้ามาเสริมในวุฒิสภาดีไหม อย่างที่เราใช้เรียกศัพท์กันว่า อะไร สภาผัว สภาเมีย เลยให้มีสว.สรรหามาเสริมด้วย คล้าย ๆกับให้เป็นการพบกันครึ่งทาง คือให้มีทั้งด้านบทบาทการกลั่นกรองและบทบาทที่ผูกพันกับประชาชน ไม่อยากให้ด้านใดด้านหนึ่งเสียไปทั้งหมด เลยพบกันครึ่งทางแบบการมีสว.ครั้งล่าสุด
ที่ประชุมใหญ่กรธ.เราเห็นว่าถึงเวลาที่เราต้องมานั่งคิดกันใหม่แล้ว คือต้องให้ไปในทางใดทางหนึ่ง แต่ก็แน่นอนว่าเราก็เห็นข้อดี ข้อเสียกับที่มาสว.ในระบบต่างๆ เช่นบอกให้ยึดโยง แต่ก็ถามว่าแล้วจะไปกลั่นกรองอะไร คำถามก็คือแล้วสูตรตรงกลางของเรื่องนี้มันคืออะไร เราก็คิดว่าส่วนหนึ่งคือต้องให้พื้นฐานคนเขายอมรับ โดยฐานการยอมรับตรงนี้จะทำให้มันแตกต่างจากส.ส.อย่างไร ซึ่งฐานเรื่องวิชาชีพ มันไม่ได้สะท้อนแค่การประกอบอาชีพส่วนตัว แต่สะท้อนความรับผิดชอบต่อสังคม คุณจะเป็นแพทย์ นักกฎหมาย วิศวกร พยาบาล คุณต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคม เขาก็มีสมาคม สภาวิชาชีพ ของแต่ละอาชีพดูแลอยู่ ซึ่งถามว่าองค์กรวิชาชีพเหล่านี้มีหน้ามีตาในสังคมหรือไม่ ก็ต้องตอบว่ามี แต่บางคนก็อาจบอกว่าเป็นเรื่องเฉพาะกลุ่ม เป็นพวก Elite เราก็ไปคิดต่ออีกว่า พวกกลุ่มที่สามารถพรีเซนต์ต่อสังคมได้มันยังมีกลุ่มไหนอีก ก็เช่น กลุ่มอาชีพ อย่างสมาคมนักข่าวฯ พวกสายแรงงาน พวกสายเกษตรกรรม ที่เขามีการรวมกลุ่มกันขึ้นมาไปจนถึงอาจพวกสายด้านเศรษฐกิจอะไรต่างๆ เช่นสภาอุตสาหกรรมหรือพวกเอ็นจีโอ คือให้เป็นกลุ่มที่สังคมเขายอมรับกันได้ แล้วให้กลุ่มเหล่านี้ช่วยกันดู คือแต่ละกลุ่มก็ต้องไปคัดเลือกคนที่ดีที่สุดของเขา
-แต่บางกลุ่มเช่นพนักงานออฟฟิศ พวกนักศึกษา แบบนี้หากจะเลือกคนเข้าไปเป็นสว. พวกนี้จะไปอยู่ในกลุ่มไหนได้ ?
ก็ตรงนี้คือสิ่งที่เราต้องมานั่งคิดกันว่ากลุ่มพวกนี้ จะทำยังไงให้เห็นว่ากรรมการร่างรธน.คำนึงถึงทุกกลุ่มคนในสังคมจริงๆ แต่ไม่ใช่ในรูปแบบระบบการเลือกตั้งสว.แบบเดิม เพราะหากเป็นแบบนั้น มันก็จะกลับมาแบบเดิม เราพยายามจะให้ได้คนที่แบบมีคุณธรรม ความซื่อสัตย์สุจริต มีความเข้าใจในเรื่องวิชาชีพและหลักการดำรงตนในสังคม
-ถ้าเป็นแบบนี้ ก็คือมีแนวโน้มที่กรธ.จะไม่ให้มีสว.เลือกตั้งอีกแล้ว ก็จะถูกวิจารณ์ว่าถอยหลังลงคลอง ไปให้มีสว.ลากตั้ง?
ใครจะลากตั้ง (เสียงเข้ม) ต้องถามว่า ใครเป็นคนไปตั้งเขา ถามว่ารัฐบาลเป็นคนไปเลือกมาหรือไม่ ถ้ารัฐบาลเป็นคนเลือกสว.หรือมีใครไปสรรหา ก็อาจเป็นแบบที่ถาม แต่ผม หรือรัฐบาล ไม่ได้เป็นคนตั้ง ก็คือคนในกลุ่มของเขากันเอง แล้วถามว่าไม่เป็นประชาธิปไตยตรงไหน ประชาธิปไตยเราไปคิดอยู่อย่างเดียวว่าประชาชนเลือก หนึ่งสิทธิ์หนึ่งเสียง
ขอยกตัวอย่างมาเปรียบเทียบ คุณเห็นไหม ในมหาวิทยาลัย คุณเห็นว่ามหาวิทยาลัยไหนที่เป็นประชาธิปไตยมากที่สุด ที่ก็คือ มหาวิทยาลัยรามคำแหง เพราะเขาใช้การเลือกตั้ง การนับคะแนน ถามว่าโอเคหรือไม่ เขาก็โอเคของเขา แต่ถามว่ามหาวิทยาลัยอื่น เขาเลือกตั้งแบบมหาวิทยาลัยรามคำแหงไหม แล้วถามว่าเขาโอเคไหม เขามีปัญหาไหม คือคนพอพูดกันแล้วจะบอกว่าประชาธิปไตยต้องมีรูปแบบเดียว คือมันมีหลายรูปแบบ บางคนบอกเลือกตั้งคือประชาธิปไตยที่สุด ให้เขาเป็นคนกำหนดชะตากรรมของเขาเองเลย แต่บางคนก็บอกว่า ไม่แน่นะ บางเรื่องมันจะต้องประชาธิปไตยขนาดนั้น เพราะว่าความรับผิดชอบของเขา มันมีองค์กรอีกองค์กรที่เขารับผิดชอบอยู่แล้ว สว.มันระดับรองลงมา
ถ้าเราบอกว่าส.ส.ต้องกำหนดทุกสิ่งทุกอย่างเพราะเขามาจากการเลือกตั้ง มันก็ไม่ใช่ มันต้องมีระดับรองลงมาที่เขาจะต้องไปดู แต่ก็โอเค ในเรื่องไหนที่เราเห็นว่าสำคัญ ส.ส.ก็ต้องเป็นฝ่ายชี้ขาด แต่สว.ก็มาดูบางเรื่องที่เราไม่อยากให้ส.ส.มาดูทั้งหมด แต่ในระบบรัฐสภา ระบบที่มาจากประชาชน เราก็ต้องให้ความสำคัญมากกว่าแต่บางเรื่องจะบอกว่ามันไม่ได้มันต้องเลือกตั้งทุกส่วน บ้านเมืองเรามันจะไปรอดไหม
-สรุปว่ากรธ.คงไม่ให้วุฒิสภามีอำนาจในการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งการเมืองอะไรอีกแล้ว?
ผมว่ามันค่อนข้างไปในแนวทางที่กรธ.คิดกัน ก็คือมันจะไปในแนวทางนี้ คือเรื่องบางเรื่องที่อยากให้เป็นเรื่องในเชิงกฎหมาย พยานหลักฐาน ให้คนมีความรู้สึกศรัทธาในสถาบันการเมือง เราก็ไม่อยากให้การเมืองเป็นฝ่ายไปกำหนดทั้งหมด เช่นเรื่องถอดถอน ถ้าคุณให้มันเป็นเรื่องทางการเมือง ก็ให้เป็นเรื่องของสภาฯ แล้วเสียงข้างมากว่าอย่างไรก็ว่าไปตามนั้น แต่หากบอกว่า เรื่องแบบนี้ มันควรให้เป็นลักษณะเรื่องเชิงพยานหลักฐาน มีเหตุมีผล มันก็ต้องมาว่าด้วยเรื่องของสถาบันที่ใช้การพิจารณา ซึ่งอาจจะเป็นศาล หรือเป็นองค์กรที่ต้องพิจารณาจากพยานหลักฐาน ก็เหมือนอย่างป.ป.ช.เขาก็พิจารณาจากพยานหลักฐาน ที่บอกว่าเรื่องไหนมีมูล แล้วก็ส่งไปสภาฯ แต่หากสภาฯมีมติถอดถอนไม่ถึง 3 ใน 5 มันก็จบ
-แต่ฝ่ายศาลเองคงไม่อยากให้เรื่องการถอดถอนเป็นเรื่องของศาลก็ได้ เพราะจะเป็นการดึงศาลไปเกี่ยวข้องกับการเมือง
ท่านอาจจะเข้าใจแตกต่างจากพวกเราอยู่บ้างเรื่องการถอดถอน บางฝ่ายไปเข้าใจว่าเป็นเรื่องการเมือง ขอเปรียบเทียบให้เห็นเช่น ข้าราชการที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิด ก็จะถูกดำเนินการทางวินัย ถูกลงโทษทางวินัยเพราะมีหลักฐานชัดเจน แต่เขาก็มีมาตรการที่ว่าหากกรณีที่หลักฐานยังไม่ถึงขั้นชัดเจนมากแต่ก็น่าจะเชื่อได้ว่าเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดหรือกระทำความผิด ก็ถือว่ามีมลทินมัวหมอง เขาก็ให้ออก ซึ่งก็เป็นการใช้หลักฐาน ใช้พยานเหมือนกัน
คือกระบวนการตรงนี้ ที่เรื่องคดีจะมี คดีแพ่ง คดีอาญา คดีปกครอง คดีแพ่ง ใครมีพยานหลักฐานดีกว่าอีกฝ่าย คนนั้นชนะ ส่วนคดีอาญา พยานหลักฐานต้องปราศจากข้อสงสัย แต่ถ้าเป็นเรื่องคดีปกครอง คือพอมีหลักฐานพอให้เชื่อได้ว่า มันเป็นเช่นนั้น
ยกตัวอย่างการให้ใบเหลืองใบแดง นักการเมือง คือเขาไม่ได้แบบปราศจากข้อสงสัย แต่การให้ใบเหลืองใบแดง ก็เพราะมันพอมีหลักฐานที่เห็นว่าน่าจะเกี่ยวข้อง เขาก็ให้ใบเหลืองใบแดง มันก็ทำนองเดียวกัน คือวางอยู่บนหลักของพยานหลักฐาน ท่านก็ต้องมาดูแล้วว่า คนๆนี้ มีพฤติการณ์อย่างไร เช่นหากบอกว่าร่ำรวยผิดปกติ ก็ต้องมาดูว่าร่ำรวยผิดปกติหรือไม่ หรือหากส่งมาว่าคนๆนั้น มีพฤติการณ์ส่อว่าทุจริตต่อหน้าที่ก็ต้องมาดูว่าส่อหรือไม่ การที่เราจะไปสรุปว่าเขาส่อ มันก็ต้องมีหลักฐาน ไม่ใช่อยู่ๆ เราจะไปคิดเอาเอง แต่หลักฐานแค่ไหนที่จะทำให้ท่านคิดได้ว่ามันมีความเป็นไปได้อย่างยิ่ง ว่าคนๆนี้ทุจริต อันนี้ก็ต้องมีการชั่งกันดู ก็ต้องดูว่าแล้วจะให้ใครเป็นคนชั่ง
-ถ้าเป็นรูปแบบนี้ เป็นไปได้ไหมที่การลงมติถอดถอนจะให้เป็นเรื่องของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาลงมติ?
อันนี้ยังไม่แน่ อันนี้ต้อง ตอบว่ายังไม่ข้อยุติ เพราะที่ประชุมก็ยัง ไม่ได้คุยกันถึงขั้นนั้น แต่ก็อย่างที่เราเห็น ถามว่า เวลาส่งเรื่องไปให้วุฒิสภาถอดถอน คิดว่าเขาใช้อะไรพิจารณา ลองดูตัวอย่างล่าสุดที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาสำนวนถอดถอน(สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล) ที่ต้องใช้เสียง 3 ใน 5 ดูแล้วคิดยังไง ในทางหลักการ เราก็ไปมองว่า เรื่องถอดถอนดูแล้วทนไม่ไหวจริง ๆสำหรับคนนี้ ซึ่งมันเหมือนกับว่าชัดเจนแล้วว่าคนนี้แย่มากๆ แล้วถึงจะเอาออก เหมือนอย่างมติสนช.ที่ถอดถอนกรณีรับจำนำข้าว แต่อันนี้คือสนช. แต่ถ้าหากเป็นวุฒิสภาระบบเดิม ผมว่าก็ยาก
-แต่สำนวนคดีการถอดถอนที่มาจากป.ป.ช. กรณีถ้าเป็นนักการเมืองทำผิด ก็ต้องส่งไปที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอีก หากศาลฎีกาฯรับฟ้อง แล้วจะมาให้ศาลพิจารณากรณีถอดถอนอีกด้วย มันไม่ซ้ำกันหรือ?
เวลาเราพูดถึงศาล รู้หรือไม่ว่า ศาลฎีกาเขามีแผนกคดีต่างๆ เช่นแผนกคดีแพ่ง คดีอาญา คดีภาษีอากร คดีสิ่งแวดล้อม คดีแรงงาน คดีเยาวชน มีเยอะ ไม่ได้หมายถึงดูแต่คดีอาญาอย่างเดียว
-หมายถึงอาจจะให้มีการตั้งแผนกคดีถอดถอนขึ้นมา?
ก็แล้วแต่ แต่ถามว่าแล้วศาลฎีกาจะยุ่งไหม ก็คงยุ่ง เหมือนกับอยู่ๆ งานที่ท่านไม่ต้องทำ ท่านจะต้องมาทำ ก็แน่นอนว่าคงอาจยุ่ง บางคนไปคิดว่าทำไมจะไปโยนให้ศาล แต่สังคมเรา ถามว่าสิ่งเหล่านี้มันควรมีไหม มันต้องเริ่มตั้งแต่ว่ามันควรมีหรือไม่ควรมี มาตรการถอดถอน ถ้าหากบอกว่าไม่ควรมี ก็ไม่ต้องทำอะไร แต่หากบอกว่าควรมี ก็ต้องถามว่าแล้วควรจะให้ใครเป็นคนทำ จะให้สภาผู้แทนราษฎร หรือวุฒิสภาหรือไม่ หรือจะให้ศาล หรือองค์กรไหนมาทำ ก็ต้องมานั่งคิด
-แนวโน้มวุฒิสภาในร่างรธน.ฉบับนี้ ที่หากไม่มีสว.เลือกตั้ง ก็คงมีแรงต้านมาก โดยเฉพาะเช่นจากฝ่ายพรรคการเมือง ที่คงไม่เห็นด้วย?
ผมมีความเชื่ออย่างนี้ว่า ถ้าพรรคการเมือง ออกมาบอกว่าอยากให้มีการเลือกตั้งวุฒิสภา ก็ต้องถามว่า พรรคการเมืองมีส่วนได้เสียอะไรกับวุฒิสภา ก็ต้องให้ความเห็นในฐานะประชาชนเช่นบอกว่าควรต้องยึดโยงกับประชาชน ผมว่าก็ได้เท่านี้ เพราะพรรคการเมืองไม่มีเอี่ยว เพราะที่ผ่านมา สว.ไม่สังกัดพรรคการเมือง
แล้วถามว่าที่บอกไม่ยึดโยงตรงไหน ก็มาจากหลายสาย ปัญหาของเรามีอยู่แบบนี้ คือถามว่าอยากมีคนเลือกตั้งไหม ก็มีคนเยอะเลย ไปถามชาวบ้าน เขาก็อากอยากเลือกตั้งก็ได้ แต่ถามว่าถ้าไปเลือกสว.แล้วไปซ้อนกับส.ส.ท่านอยากจะไปเลือกไหม ก็ไม่รู้จะไปเลือกซ้อนทำไม ไม่อย่างนั้นสภาเดียวก็พอ หรือถามว่าถ้าสว.ถูกครอบงำ แล้วอยากจะมีไหมวุฒิสภา ก็ต้องถามเขาแบบนี้
มันถึงมาตรงที่เราบอกว่าไม่อยากให้มีสิ่งเหล่านี้มาซ้ำซ้อนกันแบบเดิม แต่ถามว่าเราค้านไหม ที่สว.จะมีการยึดโยงกับประชาชน เราไม่ได้ค้าน เราไม่ได้มีปัญหากับหลักการนี้ เราก็อยากให้องค์กรที่จะต้องมีคุณภาพ คุณธรรม ต้องยึดโยงกับประชาชน แต่เราก็ต้องคิดกันว่าแล้วถ้าไม่ใช้วิธีการเลือกตั้งแล้วมันจะมีวิธีการยังไง ก็แค่นั้นเอง เราไม่ได้ปฏิเสธ อันนี้เห็นตรงกันอยู่แล้ว
-รูปแบบที่มาสว.ที่จะร่างออกมา คือต้องการจะปลดล็อกสภาผัวเมีย หรือสภาสาขาสองของพรรคการเมือง ?
ถูก ไม่อยากให้มีใครมาอุปถัมภ์ อะไรต่างๆ ในการเข้าไปเป็นสว. ถ้าถามว่ามีคนอยากลงเลือกตั้งไหม แน่นอน มีคนพร้อมจะลงเลือกตั้ง ก็คงมีเยอะ แต่ผมก็เชื่อว่าถ้าเขามีคุณภาพดี เขาก็คงอยู่ในข่าย คือจะไปพรีเซนต์กับคนในกลุ่มไหนก็แล้วแต่ การจะทำยังไงให้คนทั่วๆไป เขาได้มีส่วนร่วมในการคัดเลือกหรือเห็นดีเห็นงามกับคนที่จะมาเป็นสว. เราก็ต้องคิด ส่วนจำนวนสว.ในความเห็นของผม ก็คงอยู่ที่ประมาณ 150-200 คน ซึ่งหากมีการคุยกันในที่ประชุมใหญ่กรธ.แล้ว ทางที่ประชุมใหญ่ก็จะให้อนุกรรมการศึกษาโครงสร้างฝ่ายนิติบัญญัติไปศึกษาอีกทีเพื่ออาจจะไปปิดช่องว่างที่กรธ.ได้คุยๆกัน เช่นการดูให้ที่มาต้องครอบคลุมเพื่อทำให้ประชาชนรู้สึกว่าเป็นคนของเขาจริงหรือไม่
กรธ.เดินหน้า จัดสรรปันส่วนผสม พรรคไหนได้ประโยชน์?
“อุดม-กรธ.” ในฐานะอนุกรรมการศึกษาโครงสร้างฝ่ายนิติบัญญัติ ที่ศึกษาเรื่องระบบการเลือกตั้งส.ส.ชงให้ที่ประชุมใหญ่กรธ.พิจารณา ที่ตอนนี้ก็มีแนวโน้มแล้วว่าอาจจะออกมาในรูปแบบ “จัดสรรปันส่วนผสม” เขาจะมาพูดถึงเรื่องแนวคิดการเลือกตั้งแบบกาบัตรใบเดียว ที่คนเรียกกันว่า 3 in 1 หรือกาบัตรเดียวมีผลทั้งส.ส.เขต-ส.ส.บัญชีรายชื่อและนายกรัฐมนตรี หลังกรธ.มีแนวคิดให้พรรคการเมืองทำบัญชีรายชื่อนายกฯประกาศในช่วงหาเสียงเลือกตั้งด้วย
กับประเด็นที่หลายฝ่ายยังมีข้อสงสัยอยู่มากก็คือ ”วิธีการคำนวณที่นั่งส.ส.” ของแต่ละพรรคการเมือง หากมีการใช้บัตรเลือกตั้งใบเดียวแล้วให้นำผลคะแนนทั้งของผู้ชนะและผู้แพ้ในการเลือกตั้งส.ส.เขตทุกเขตทั่วประเทศมาคำนวณหาที่นั่งส.ส.ในระบบบัญชีรายชื่อให้กับทุกพรรคการเมือง
โดย ”ดร.อุดม” ได้อธิบายถึงหลักการคิดคะแนนดังกล่าวโดยเกริ่นนำว่า หลักที่กรรมการร่างรัฐธรรมนูญคิดก็คือทำยังไงให้คะแนนทุกคะแนนที่ประชาชนเลือกในหนึ่งบัตร มีผลให้มีผู้แทนประชาชนในสภาฯและให้มีผลต่อการจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมากได้ โดยที่ประชาชนก็มองทะลุไปถึงที่ว่าเมื่อลงคะแนนในบัตรเดียวนอกจากได้ส.ส.แล้วยังทำให้ประชาชนรู้ได้ด้วยว่า ใครจะมาเป็นนายกรัฐมนตรีซึ่งมันสัมพันธ์กันหมด เพราะหนึ่งคะแนนของเขาจะไปรวมกับคะแนนของคนอื่นๆ ทั้งประเทศ โดยที่ไม่ได้สนใจว่าคะแนนของเขาทำให้เขาได้ส.ส.เขตแล้วหรือยัง เพราะหนึ่งคะแนนเสียงที่ประชาชนออกเสียงจะไปรวมกันกับคะแนนที่ประชาชนลงมาทั้งประเทศ เมื่อรวมกันทั้งประเทศแล้วคะแนนของแต่ละพรรคจะถูกคิดออกมาว่า แต่ละพรรคสมควรจะได้ส.ส.กันกี่ที่นั่ง ตามสัดส่วนโดยคำนวณจากคะแนนที่ประชาชนเลือกพรรคต่างๆ
เช่นสมมุติว่า มีส.ส.ในสภาฯ 500 ที่นั่ง แล้วมีพรรคการเมืองพรรคหนึ่งได้ส.ส.100 ที่นั่ง ก็ได้ไป 100 ที่นั่ง พรรคนี้ได้ 10 ก็เอาไป 10 แต่ระบบที่เราคุยกัน เรายังให้ความสำคัญกับส.ส.ระบบเขตที่อาจจะมีประมาณ 350 เสียง เท่ากับ 350 ที่นั่งก็จะมาเป็นตัวตั้งว่าพรรคการเมืองแต่ละพรรคได้ส.ส.เขตไปแล้วจำนวนเท่าใด ก็จะนำตัวเลขส.ส.เขตมาหักจากจำนวนที่เขาสมควรจะได้จากสัดส่วนทั้งประเทศ
เช่นสมมุติ พรรคก.ได้ไปประมาณ อาทิ 20 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งก็คือประมาณ 100 ที่นั่งของ 500 ที่นั่ง แต่ปรากฏว่าเขาได้เพียง 80 ที่นั่งจากส.ส.เขต ปกติเขาก็ควรต้องได้เพิ่มจากระบบบัญชีรายชื่ออีก 20 ที่นั่ง เพื่อให้สัดส่วนคะแนนทั้งประเทศสอดคล้องกันจากบัตรเลือกตั้งใบเดียวที่นับจากคะแนนรวมทั้งประเทศ ก็ต้องไปเติมให้พรรค ก.อีก 20 ที่นั่งเพื่อให้ได้ 100 ที่นั่ง อันนี้คือหลักการธรรมดา
แต่คำถามก็คือ มีหรือไม่ ที่ปรากฏว่าพรรคได้สัดส่วนเกินกว่าที่เขาควรจะได้จากคะแนนทั้งประเทศ ก็อาจจะมี คือบางพรรคได้ที่นั่งส.ส.มาเกิน เช่น แทนที่เขาจะได้ 25 ที่นั่ง แต่เขากลับได้ 40 ที่นั่ง อันนี้สมมุติให้ฟัง ก็ต้องบอกว่าอาจจะเป็นไปได้ แต่อันนี้ absurd มาก คือได้มา 5 เปอร์เซ็นต์ แทนที่จะได้ 25 ที่นั่ง แต่กลับไปได้ 40 ที่นั่งแสดงว่าได้ไปเกิน 15 ที่นั่ง ถามว่าจะทำอย่างไร ก็ต้องให้เขาไป เพราะพรรคเขาชนะในระบบส.ส.เขตมา แต่เปอร์เซ็นต์ตรงนี้จะทำให้สัดส่วนทั้งประเทศมันก็จะมีปัญหา เพราะพรรคนั้นได้สัดส่วนเกินกว่าสัดส่วนทั้งประเทศ แต่ก็ต้องให้เขาไป เพราะเขาชนะในระบบเขตมา มันก็ทำให้สัดส่วนที่เขาควรจะได้กันในแต่ละพรรคการเมือง มันอาจจะเสียไป เพราะว่ามันไปแย่งที่ เช่น 10 ที่นั่ง 15 ที่นั่ง
ถามว่าแล้วมันจะมีปัญหาอะไรกับ จำนวนส.ส.บัญชีรายชื่อที่จะให้รวมทั้งหมด 150 ที่นั่ง มันก็จะมีปัญหาว่า แทนที่ 150 ที่นั่งแทนที่จะไปเติมให้กับสัดส่วนที่แต่ละพรรคควรจะได้ มันก็อาจจะเติมได้น้อยลง เช่นที่บางพรรคควรจะได้ส.ส.ตรงนี้มาเติม 20 ที่นั่ง ก็อาจเหลือ 18 ที่นั่ง เพราะเหตุว่าสัดส่วนที่จะไปกระจายให้ ตามสัดส่วนของแต่ละพรรคที่เขายังขาดอยู่มันเสียไป
ใช้หลักบัญญัติยางค์แก้ปัญหา คะแนน Overhang
“ดร.อุดม”กล่าวต่อไปว่าหลักมันมีอยู่ว่า ถ้าเขียนให้มีการปล่อยไหล ที่เรียกกันว่า Overhang ในความเป็นจริงมันจะมีคะแนน Overhang ถ้าเราปล่อยไหล คือแทนที่จะจำกัดจำนวนไว้ตายตัวที่ 150 ที่นั่ง เหมือนกับแนวคิดของกรรมการยกร่างรธน.ชุดอาจารย์ บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ที่บอกปล่อยไหลสัก 20 แต่ของกรธ.จะไม่ปล่อยไหล คือจะกันไว้ที่ไม่เกิน 150 ที่นั่ง พรรคไหนจะมีสัดส่วนมากน้อยยังไงแต่ก็จะไม่ให้เกิน 150 ที่นั่ง นี้คือความแตกต่างระหว่างชุดนี้กับชุดอาจารย์บวรศักดิ์ และที่แตกต่างอีกอย่างคือกรธ.จะให้ใช้บัตรเลือกตั้งใบเดียวแต่ของชุดที่แล้วให้ลงคะแนนเสียงสองบัตร เขาปล่อยไหลแต่เราไม่ให้ปล่อยไหล
การไม่ปล่อยไหลทำให้หากเกิดกรณี Over hang เช่นสมมุติว่า เราต้องการที่นั่งไปชดเชยให้กับพรรคการเมืองที่เขายังขาดอยู่ตามสัดส่วนคะแนน สมมุติเราต้องการทั้งหมด 160 ที่นั่ง แต่มันมีที่นั่งส.ส.บัญชีรายชื่อแค่ 150 ที่นั่ง แล้วจะทำยังไง
“เราก็ต้องทำสัดส่วนให้ย่อลงมา เท่ากับว่าแต่ละพรรคแทนที่เขาจะได้ตามสัดส่วนที่ควรจะได้ เขาก็ต้องได้ลดลงมา เช่นบางพรรคแทนที่จะได้ 10 ที่นั่งก็อาจได้แค่ 9 ที่นั่ง บางพรรคควรจะได้ 20 ที่นั่ง ก็อาจเหลือมา 18 ที่นั่ง คือสัดส่วนที่เราจะเอาจากที่ 160 ที่นั่ง มาคำนวณโดยต้องให้จาก 160 ต้องคำนวณให้อยู่ไม่เกิน 150 ที่นั่ง แต่ละพรรคจะต้องลดส่วนลงไปเท่าใดเท่าๆกันตามสัดส่วน คนมีน้อยก็ต้องลดสัดส่วนน้อย คนมีมากก็ต้องถูกลดสัดส่วนมากหน่อย เช่น คิดออกมาว่า บางพรรคต้องลดลงไป 10 เปอร์เซ็นต์ ก็ตีเสียว่าต้องลดไป 10 เปอร์เซ็นต์ของทุกพรรคเหมือนกันหมด เพื่อให้ตัวเลขอยู่ไม่เกิน 150 ที่นั่งเมื่อคำนวณออกมา”
..วิธีคิดก็คิดแบบ บัญญัติยางค์ คือ หากมีจำนวนที่นั่งที่ต้องการเท่าการ เช่น สมมุติ 160 ที่นั่ง แต่ร่างรธน.เขียนไว้ว่าให้มีส.ส.บัญชีรายชื่อไม่เกิน 150 ที่นั่ง บัญญัติยางค์ง่ายๆ ก็คือ 160 ทำให้เหลือ 150 ก็ใช้วิธี เอา 150 หารด้วย 160 แล้วคูณจำนวนเก้าอี้ที่แต่ละพรรคควรจะมีสิทธิ์ได้รับ ซึ่งก็คือสัดส่วนต้องลดไป ต้องลดส่วนจาก 15 ส่วน 16 เพื่อให้จำนวนมันทอนลงมา
สมมุติ พรรคหนึ่งควรจะได้ส.ส.บัญชีรายชื่อ 10 ที่นั่ง ก็ต้องนำเครื่องคิดเลขมาหารแล้ว ก็คือเอา 150 มาคูณกับ 10 ที่นั่ง ก็ได้ 1500 หารด้วย 160 ตัวเลขก็จะออกมา โดยที่ 10 ที่นั่งก็จะลดลง เพราะถูกทอนสัดส่วนลงไป เพราะฉะนั้นทุกพรรคการเมืองก็จะถูกทอนลงไปหมด คือการทอนเพื่อไม่ให้เกิด Overhang เท่ากับทุกพรรคจะถูกกระทบเพราะเหตุที่ว่ามันมี พรรคที่ได้ส.ส.เขตเกินกว่าสัดส่วนที่เขาควรจะได้
ก็มีคนตั้งคำถามว่าเป็นไปได้ไหม พรรคของเขาอาจจะได้คะแนนเกิน 51 หรือได้ 52 เปอร์เซ็นต์ในคะแนนพรรคทั้งประเทศ แต่พอคิดออกมาแล้ว เก้าอี้ที่พรรคจะได้ กลับไปได้น้อยกว่าพวกที่ได้ 49 เปอร์เซ็นต์หรือว่าได้ 40 เปอร์เซ็นต์จะได้ส.ส.มากกว่า ผมว่าถ้าตามคณิตศาสตร์มันอาจจะมีความเป็นไปได้ก็ได้ แต่ว่ามันเป็นไปได้น้อยมาก คือหมายความว่าคุณชนะส.ส.เขต เยอะเกินกว่าคะแนนที่คุณจะได้หลายเขตมาก ขณะที่พรรคการเมืองอื่นๆ ที่แพ้ ได้คะแนนมหาศาลมาก แต่แพ้ เพราะแพ้ระบบเขต เพียงแค่ 1 คะแนนก็แพ้ แต่พรรคนั้นคะแนนสัดส่วนทั้งประเทศจะยังคงอยู่ แต่แพ้เขตไม่ได้ที่นั่งในระบบเขต ซึ่งในความเป็นจริงเนื่องจากเรามีตั้ง 350 เขต แล้วพรรคใหญ่ก็จะเฉลี่ยกันไปเฉลี่ยกันมา
จริงอยู่ บางพรรคในบางภาค อาจจะได้มาแบบถล่มทลาย แต่อีกพรรคได้น้อย แต่กับอีกภาคหนึ่ง พรรคหนึ่งอาจกลับได้มาเยอะแต่บางพรรคก็ได้มาปานกลาง มันมาเฉลี่ยกันแล้ว ถามว่ามันมีโอกาส ที่จะทำให้สัดส่วนคะแนนกับเก้าอี้ที่นั่ง มันไม่เป็นตามสัดส่วนปกติได้หรือไม่ ก็เป็นได้ แต่ผมคิดว่าไม่มาก เพราะ 150 ที่นั่งของระบบสัดส่วนบัญชีรายชื่อมันไม่มากไม่น้อยจนเกินไป
จริงๆ หากใช้ระบบสัดส่วนแล้วจะหาวิธีป้องกันไม่ให้คะแนนมันออกมา Over hang หรือหากมี Over hang แล้วจะแก้ปัญหาไม่ให้มีปัญหาในสัดส่วน คือต้องให้ส.ส.เขตมีตัวเลขใกล้เคียงกับบัญชีรายชื่อ เช่นหากจะบอกให้มีเท่ากันคือ ส.ส.เขตกับบัญชีรายชื่อ มี 250 กับ 250 ที่นั่งเท่ากัน หรือ 300 กับ 200 แต่พรรคการเมืองก็จะรู้สึกแย่ เพราะต้องการให้มีส.ส.เขตมาก
โดยสรุปก็คือการแก้ปัญหา Over hang จริงๆ แล้วไม่ได้เป็นปัญหาอะไรก็จะเอาสัดส่วนคะแนนของประชาชน มาเป็นตัวตั้งในการคิดเก้าอี้ ที่นั่งของส.ส.อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเราให้ความสำคัญกับส.ส.ในระบบเขตเลือกตั้งที่หากพรรคไหนชนะได้มากมาเป็นอันดับหนึ่ง พรรคนั้นก็ได้ไปแล้ว แต่แทนที่สมมุติพรรคไหนได้คะแนนส.ส.เขตมาเช่น ชนะได้มา 2 แสนคะแนน แทนที่จะได้แค่เก้าอี้ส.ส.เขตแบบเดียว ก็มีโอกาสที่จะได้เก้าอี้เพิ่มในบัญชีรายชื่ออีก เราพยายามเอาคะแนนที่คนไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้งให้มาเป็นฐานในการคำนวณเก้าอี้ทั้งประเทศให้ด้วย
ส่วนพรรคการเมืองขนาดเล็กที่มีคนพูดโจมตีว่า แบบนี้ พรรคขนาดเล็กก็แย่ ก็แน่นอนว่าแย่ เพราะระบบนี้ถ้าพรรคเล็กไม่ส่งผู้สมัครส.ส.ในระบบเขต คุณจะไม่มีทางได้คะแนนเลยเพราะคะแนนทั้งประเทศ หมายถึงต้องส่งผู้สมัครลง
ยกตัวอย่างในอดีต มีบางพรรคไม่ส่งผู้สมัครในระบบเขตเลย มีแต่บัญชีรายชื่อ ก็จะไม่ได้แล้ว ระบบนี้ต้องส่งส.ส.เขตด้วย ให้ครบหมดแล้วก็เสนอบัญชีรายชื่อมา แต่บัญชีรายชื่อ คนก็ถามว่าต้องส่งมาให้ครบ 150 คนหรือไม่ ซึ่งคงไม่ต้อง แต่จะทำอย่างไรที่จะไม่ให้พรรคขนาดเล็กถูกทำลาย ผมมีความเชื่อว่าพรรคเล็กก็ต้องปรับตัว เพื่อให้ประชาชนในแต่ละพื้นที่สนใจผู้สมัครของพรรคด้วย ไม่ใช่คนรู้จักแค่หัวหน้าพรรคคนเดียวแต่คนอื่นๆ ในพรรค คนไม่รู้จักเลย
-ถ้าใช้ระบบการเลือกตั้งแบบนี้ พรรคการเมืองที่เคยชนะการเลือกตั้งมาตั้งแต่ปี 2544 เรื่อยมา ถ้าใช้สูตรเลือกตั้งแบบนี้จะได้รับผลกระทบหรือไม่ ?
เราเก็งยาก เพราะทุกพรรคต้องปรับตัว คือเรามองแบบเร็วๆ เมื่อใช้คะแนนที่ประชาชนลงคะแนนเสียงเป็นตัวตั้ง ไม่ใช่แบบที่ใครชนะได้หมดที่เราเรียกกันว่าผู้ชนะเก็บเรียบ ผู้แพ้ตกน้ำไปเลย ก็แน่นอนว่าเก้าอี้ที่นั่งส.ส.มีการเปลี่ยนแปลงแน่ สัดส่วนส.ส.ในสภาฯ ก็จะเปลี่ยนแปลงเพราะเสียงของผู้แพ้ถูกนำมาคำนวณด้วย กลายเป็นว่า คนที่ชนะก็กวาดไปส่วนหนึ่งแต่ฝ่ายที่แพ้ในระบบเขตเขาก็มีคะแนนแพ้ของเขามาส่วนหนึ่ง จากอดีตที่เราเคยได้เช่น ที่ผมเคยเห็นมาอย่างคะแนนจากการเลือกตั้งส.ส.ในครั้งหนึ่งที่ผ่านมา ผู้ชนะ การเลือกตั้งส.ส.ในทุกเขตทั่วประเทศ ทุกพรรคการเมือง ที่รวมกันแล้วทั่วประเทศ คนที่ได้คะแนนเสียงมาเป็นอันดับ 1 ชนะการเลือกตั้ง คะแนนรวมกันแล้วเคยได้กันมา 17 ล้านเสียง ส่วนคะแนนเสียงของผู้สมัครส.ส.ระบบเขตที่แพ้การเลือกตั้งและไม่เคยรับการพิจารณา ที่มีประมาณ 14 ล้านเสียง ที่เสียง 14 ล้านเสียงต้องตกน้ำไป มันก็จะเปลี่ยนแปลงไปแล้ว อีกทั้งมันไม่ได้มีเฉพาะแค่ 14 ล้านเสียงเท่านั้น เพราะอย่างในอดีตที่เราเคยเห็นเช่น มีประชาชนเขาคิดว่าผู้สมัครของพรรคที่ประชาชนเขาสนใจพรรคนี้ แต่เขาก็คิดว่าดูแล้วยังไงก็คงไม่ได้รับการเลือกตั้ง ก็ไม่ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ก็จะมีคะแนนส่วนหนึ่งตรงนี้ก็อาจจะเข้ามา
อันนี้คือข้อคิดที่กรธ.คิดแต่เราไม่ได้บอกว่าเราอยากให้พรรคการเมืองไหนชนะการเลือกตั้ง ไม่ใช่ เราคิดกันในหลักการว่า คะแนนผู้ชนะกับคะแนนผู้แพ้ ที่ผ่านมาคะแนนผู้แพ้ตกน้ำไปเลย ไม่เคยเอามาคิด เราก็จะนำกลับมาคิด แต่ที่นำมาคิดอย่าลืมว่า ไม่เท่ากับสัดส่วนผู้ชนะ เพราะสัดส่วนผู้ชนะ ถ้าเราดูตามที่วางกันไว้คือส.ส.เขต 350 ที่นั่ง คะแนนที่เกินกว่าที่ผู้ชนะควรจะได้ มันประมาณ 150 ที่นั่ง ซึ่งเดิมกรธ.เคยคิดว่าจะนำคะแนนของผู้แพ้การเลือกตั้งส.ส.เขตมาคิดอย่างเดียว แต่ก็มีคนประท้วงกันบอกว่าไม่ได้ต้องนำคะแนนของคนที่ชนะการเลือกตั้งส.ส.เขตที่เขาได้มามาคิดด้วย
ดังนั้นก็จะทำให้จำนวนส.ส.บัญชีรายชื่อที่วางไว้ 150 ที่นั่งก็จะต้องคิดจากฐานคะแนนของคนที่แพ้และคนที่ชนะการเลือกตั้งส.ส.เขตแบบถล่มทลายมาคิดด้วย พอเป็นแบบนี้ คนที่แพ้ก็จะมีส่วนที่ได้เพิ่มขึ้น ถ้าเรามองในแง่ของสัดส่วนจากหลักการเดิมที่ไม่มีการนำคะแนนแพ้มาคิด
เพราะฉะนั้นการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต มันก็อาจจะมีที่แปรเปลี่ยนบางส่วน ถามว่ามันจะเหมือนกับระบบเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อไหม ผมว่าไม่เหมือน เพราะแบบเดิม ระบบบัญชีรายชื่อมันเหมือนเขาได้ซ้ำสอง เพราะอย่างปกติ ถ้าคนไปเลือกผู้สมัครพรรคนี้ แล้วก็เลือกพรรคการเมืองพรรคนั้นด้วย ก็จะได้สองต่อเลย หรือว่าไปเลือกผู้สมัครส.ส.เขตของพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง แต่ตอนเลือกบัญชีรายชื่อ ก็ไปเลือกอีกพรรคการเมืองหนึ่ง ที่ก็เป็นไปได้ แต่โอกาสที่จะเลือกทั้งพรรคทั้งคนก็มีเยอะ อันนี้คือสองต่อ คือพรรคได้ทั้งส.ส.เขตและคะแนนปาร์ตี้ลิสต์ คู่ขนานกันไปเลย เป็นการเลือกพรรคเสียงข้างมากคือได้ทั้งส.ส.เขตและเลือกพรรค
แต่ถ้าใช้ระบบที่กรธ.คิด แต่ละคนก็จะมีแค่หนึ่งเสียง จะแบบเขตหรือตัวพรรคก็ได้อันเดียว ไม่มีสิทธิ์ไปเลือกแยก หรือเลือกรวมว่า พรรคที่คุณชอบจะได้สองคะแนน ไม่มี คุณมีคะแนนเดียวเท่ากับคนอื่นๆ ระบบมันเปลี่ยนไปแบบนี้
-ถ้าเขียนร่างรธน.ออกมาให้ใช้ระบบการเลือกตั้งส.ส.แบบนี้ การเมือง เสียงที่นั่งในสภาฯ หลังการเลือกตั้งจะมีสภาพเป็นอย่างไร?
มีคนพูดว่า ถ้าเราดูจากความนิยมที่ผ่านมา ก็มีคนประเมินว่ามันจะไม่มีใครเป็นเสียงข้างมาก จะไม่มีพรรคเสียงข้างมากแบบเด็ดขาด อันนี้เป็นแค่การประมาณกันไป แต่ไม่ใช่ความคิดของผม เพราะผมก็ประมาณการไม่ได้ จะไปรู้ได้อย่างไรว่าคนที่เขาเคยเลือกพรรคการเมืองพรรคนี้ เขาจะยังคงเลือกพรรคการเมืองนี้อยู่ เพราะเราดูในสถานการณ์ของบ้านเมือง เราอาจจะโอเค มีพวกแฟนคลับ พวกศรัทธาพรรคยังมีอยู่ จำนวนหนึ่ง จำนวนมากทีเดียว แต่พวกที่กลางๆ สวิงไปสวิงมาตาม ผู้สมัคร ก็มีอยู่ไม่น้อย เราก็จะไม่รู้หรอกว่าคนที่อยู่กลางๆ แล้วเขาจะสวิงไปข้างไหน ถ้าหากสวิงไปยังพรรคที่เคยได้มากอยู่แล้วก็อาจกลายเป็น เสียงข้างมากไปเลย หรือว่าตรงกันข้าม เหมือนเดิม คือใครเคยเลือกอะไร ก็เลือกแบบนั้น ถ้ามันออกมาแบบนี้ โอกาสที่ใครจะได้เป็นรัฐบาลโดยไม่มีพรรคไหนได้เสียงข้างมากก็เป็นไปได้เยอะ บนหลักที่เราดูว่าจาก 17 ล้านเสียงกับ 14 ล้านเสียง มันก็สะท้อนว่าอาจจะไม่มีพรรคใดที่เป็นรัฐบาลโดยมีเสียงเด็ดขาดพรรคเดียว แต่อันนี้ยังเป็นแค่สิ่งที่คนเขาประมาณการกัน เพราะเราก็ไม่รู้ว่าในการแบ่งเขตเลือกตั้ง คนที่มีสิทธิ์จะได้ขึ้นมาใหม่ จะเป็นคนซึ่งสนับสนุนกลุ่มการเมืองไหนเราไม่รู้ หรือว่าคนที่เป็นกลางๆ ซึ่งเคยเลือกพรรคไหนก็ได้ เขาจะเปลี่ยนใจไหม เราก็เดายาก
แต่หากเราคิดจากในอดีต ก็แน่นอน ก็มองว่าตัวเลขที่ออกมาอาจจะเป็นรัฐบาลผสม แต่ก็ไม่ใช่ความเห็นผม เพราะผมก็ยังนึกไม่ออก แต่แน่นอนว่าด้วยระบบการเลือกตั้งแบบที่เราคิดไว้อย่างนี้ พรรคการเมืองก็ต้องปรับตัว
