แช่น้ำแรมเดือน ฤา ‘เมืองนนท์เป็นลูกเมียน้อย’
น้ำเมืองนนท์ท่วมขังนานเป็นเดือน เทียบกับ กรุงเทพฯ อาทิตย์เดียวก็ลดลงแล้ว หรือ ‘เมืองนนท์เป็นลูกเมียน้อย’ คำตัดพ้อสั้นๆ ของนายกิตติศักดิ์ กิติสมพรวุฒิ ดูไม่เกินความจริง หลังจากที่เขา ภรรยาและลูกๆ อีก 3 คน ต้องระเห็จออกจากบ้านพักในหมู่บ้านบุรีรมย์ อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี มานานกว่า 1 เดือน
“น้ำท่วมสูงถึงเอว การเดินทางถูกตัดขาด หมู่บ้านกลายเป็นหมู่บ้านร้าง จนต้องตัดสินใจทิ้งบ้าน หนำซ้ำในเวลาไล่เลี่ยกัน โรงงานในอำเภอบางบัวทอง ซึ่งสร้างด้วยเป็นน้ำพักน้ำแรงของเขาก็จมน้ำตามไปอีก
“ผมเสียหายหมด เครื่องจักรจมน้ำ ธุรกิจผลิตหมวกกันน็อกที่เคยสร้างรายได้ขั้นต่ำวันละ 100,000 บาทหายวูบ รายรับไม่เข้า แต่ค่าใช้จ่ายเดินทุกวัน
ตอนนี้ผมต้องเอาเงินออม เงินทุนมาจ่ายเงินเดือนลูกน้อง 20 ชีวิต ขนาดผมเจรจาขอจ่ายแค่ครึ่งเดือน ยังควักไปแล้ว 120,000 บาท นี่ยังไม่นับรวมค่าใช้จ่ายอื่นๆ”
ชาวบางกรวยรายนี้ เล่าถึงช่วงน้ำท่วมที่ผ่านมาว่า เขาไม่ได้รับการดูแลใดๆ ทั้งสิ้น ถุงยังชีพที่ได้รับก็มาจากเงินบริจาคของประชาชนผ่านองค์กรสื่อ
ส่วนการเดินทาง แม้ในช่วงแรกๆ จะมีรถทหารคอยรับ-ส่ง แต่วันนี้เหลือเพียงไม่กี่แห่งบนถนนสายหลัก ทุกอย่างเทไปที่ ‘กรุงเทพฯ’ หลังน้ำโจมตีเข้าเมืองหลวง
"ผมทนไม่ไหวแล้ว..อย่างน้อยก็ช่วยเปิดประตูระบายน้ำ ให้น้ำลดสัก 30 เซนติเมตร ผมจะได้ไปตั้งกระสอบทราย สูบน้ำออก ผมขอแค่พออยู่ได้ ไม่ได้ขอให้น้ำแห้ง"
เพราะเมื่อ 2-3 วันก่อน เขาคนนี้ลงทุนจ้างเรือไปดูระดับน้ำเลียบคลองมหาสวัสดิ์ ช่วงถนนกาญจนาภิเษก จนพบว่า น้ำในอำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรีสูง 1 เมตรกว่า ขณะที่เขตบางพลัด กรุงเทพฯ น้ำแห้งสนิท มันต่างกันมากระหว่างสองฟากของคันกั้นน้ำ
"1 ปีอยู่บ้านแค่ 9 เดือน อาจเป็นเรื่องจริง อย่างที่หลายคนๆ พูด ก็ได้" เขาทิ้งท้าย ก่อนจะบอกว่า เพราะเมืองนนท์ถูกน้ำท่วมก่อนคนอื่น และไม่มีวี่แววว่าจะลด ขณะที่พื้นที่ใกล้เคียงเริ่มเก็บกวาดบ้านเรือน พร้อมเริ่มต้นกันใหม่แล้ว
ขณะเดียวกันเสียงสะท้อนของ นางสาวปราณี ขำอินทร์ ชาวบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี ก็เล่าอย่างน้อยเนื้อต่ำใจไม่ต่างกัน เนื่องจากเธอต้องอพยพ มากางเต้นกินนอน อยู่ที่ศาลากลางจังหวัดนนทบุรี หลังจากบ้านจมน้ำมาแล้วไม่ต่ำกว่า 2 เดือน โดยไม่รู้วันและเวลา ภัยพิบัติน้ำท่วมจะจบลงเมื่อไหร่
เธอเล่าว่า ได้มีโอกาสกลับเข้าไปสำรวจบ้านครั้งหนึ่ง โดยต้องใช้เวลาพายเรือไป-กลับ รวมแล้วกว่า 10 ชั่วโมง แต่เมื่อไปถึงกลับไม่สามารถเข้าบ้านได้ เพราะแม้แต่จะเปิดประตูบ้านก็ทำไม่ได้
“ระดับน้ำในบ้านท่วมสูงเกือบมิดหัว เนื่องจากบ้านถูกคันดินของ อบต.บางพลัดปิดกั้น ส่วนฝั่งที่ติดกับคลองบางบัวทองก็ถูกบล็อกด้วยคันดิน ฝั่งด้านหลังก็ถูกบล็อกด้วย อบต.บางพลับ เราอยู่ตรงกลาง น้ำก็ไม่สามารถที่จะไปไหนได้ ยังขังอยู่ นอกจากจะมีใครไปพังคันดิน”
มากไปกว่านั้น เธอยังเล่าอีกว่า การกู้ถนนสาย 340 ไม่ได้เป็นผลดีกับคนเมืองนนท์เลย เพราะการผันน้ำสูบน้ำออกมา ก็เข้ามาในพื้นที่บ้านเรือน โดยไม่ได้สนใจว่าคนในบริเวณนั้นจะรับไหวหรือไม่
เอาจริงๆแล้ว เงิน 5,000 บาทก็ยังไม่พอซื้อสีซ่อมบ้านด้วยซ้ำไป...
" สิ่งที่ต้องการที่สุดคือ อยากให้เปิดประตูระบายน้ำ เพื่อให้น้ำไหลออกไป ไม่ใช่ปล่อยให้น้ำขัง 1-2 เมตร และเป็นพื้นที่รองรับน้ำมาจนถึงทุกวันนี้" นางสาวปราณี ตั้งความหวัง และว่า ทุกวันนี้เหมือนเป็นการรอให้น้ำลงไปทางคลอง หรือลงแม่น้ำเจ้าพระยา น้ำอาจมีลงไปบ้างตามเวลาที่น้ำในแม่น้ำลง แต่เวลาน้ำขึ้นก็ดันกลับมาเหมือนเดิม ทำให้น้ำไม่มีที่ไป ไม่มีการไหลออก และท่วมขังจนถึงทุกวันนี้
“อยากให้คนไทยร่วมมือกันมากกว่านี้ คนที่ขึ้นชื่อว่า ‘ราชการ’ อยากให้ทำงานให้คุ้มค่า ไม่มีการเมือง หน้าที่ต้องทำ แต่ทุกวันนี้ที่มองเห็นคือ ทุกคนละทิ้งหน้าที่เป็นส่วนใหญ่ ไม่แปลกใจว่า ทำไมอาหาร ถุงยังชีพมาไม่ถึงประชาชน เพราะเมื่อคนที่รู้พื้นที่ ไม่ลงมาทำ” นางสาวปราณี พูดมาจากประสบการณ์ที่พบเจอ
นอกจากความรู้สึกที่สะท้อนให้เห็นการทำงานของหน่วยงานรัฐในยามวิกฤตแล้ว สิ่งที่แฝงอยู่คือ ความกังวลของคนหาเช้ากินค่ำ ที่ไม่สามารถกู้เงินได้และไม่รู้ว่ารัฐบาลจะช่วยพวกเขาอย่างไร
ส่วนอีกหนึ่งความต้องการของชาวบางบัวทองคือ หลักประกันในการกลับบ้าน โดยนายเฉลิมชัย คงศุภลักษณ์ ชาวอำเภอบางบัวทอง ยื่นคำขาดว่า วันที่ 1 ธันวาคมนี้เขาต้องได้กลับบ้าน เพราะต้องย้ายออกมาเช่าโรงแรมอยู่กับครอบครัว ตั้งแต่วันที่ 20 ตุลาคม และยังไม่สามารถกลับเข้าบ้านได้
สิ่งที่ตามมาคือค่าใช้จ่ายที่พุ่งสูง
นายเฉลิมชัยให้เหตุผลว่า หากรอนานกว่านี้อีก 2-3 สัปดาห์เหมือนเป็นการซื้อเวลาไปเปล่าประโยชน์ เพราะทุกวันนี้ค่าใช้จ่ายยิ่งสูงขึ้น ขณะที่รายได้จากธุรกิจถดถอย ซึ่งถ้าจะให้รออยู่อย่างนี้ก็ไม่รู้ว่า จะได้กลับไปใช้ชีวิตแบบปกติเมื่อไหร่
“แค่ไปเที่ยวต่างจังหวัด 5-7 วันยังรู้สึกคิดถึงบ้าน แต่นี่มองเห็นหลังคาบ้านทุกวัน แต่ไม่สามารถเข้าบ้านได้ มันรู้สึกแย่ลงทุกวัน”
ขณะที่มาตรการของทางจังหวัดนนทบุรี ที่ผ่านมาไม่สามารถทำให้เขารอเวลาได้ เพราะไม่มีรู้เลยว่า ต้องใช้ชีวิตอย่างนี้ไปอีกนานเท่าไหร่ แม้กระทั่งมาตรการล่าสุด ก็ยังไม่สามารถสร้างความมั่นใจให้กับชาวเมืองนนท์ได้มากพอ
“เป็นเรื่องดีที่บางบัวทองจะเป็นอำเภอแรกๆ ที่ทางจังหวัดจะเข้าไปจัดการ แต่จริงแล้วๆ เราไม่อยากให้น้ำในบางบัวทองแห้งก่อน เพราะกลัวว่า คนเมืองนนท์จะเดือดร้อนหมด ดังนั้นเป็นไปได้หรือไม่ว่า นอกจากวิธีการแก้ปัญหาน้ำโดยใช้การบล็อกแล้ว การลดระดับในคลองมหาสวัสดิ์ก็จะช่วยได้มากเช่นกัน จุดนี้จึงควรแก้ไข”
นายเฉลิมชัย สรุปทิ้งท้ายให้ว่า ที่ผ่านมาน้ำลดลงโดยธรรมชาติ ไม่ใช่เพราะการจัดการ แต่หลังจากนี้ น้ำต้องลดลงไปเพราะศักยภาพของจังหวัด
เพราะสิ่งสำคัญที่สุดคือตัวผลงาน หากนโยบายแก้ปัญหาพรั่งพรู แต่น้ำไม่ลดก็ไม่มีความหมาย