สัมพันธ์อิหร่าน-ซาอุฯ ร้าวลึก ทางออกเรื่องซีเรียกับเยเมนยิ่งห่างไกล
ความตึงเครียดทางการทูตระหว่างอิหร่านกับซาอุดีอาระเบียขยายวงกว้างขึ้น หลังจากที่มีการบุกทำลายและเผาสถานทูตซาอุฯ ในกรุงเตหะราน เมื่อวันอาทิตย์ (3 ม.ค.) เพื่อประท้วงกรณีที่เมื่อวันเสาร์ (2 ม.ค.) ซาอุฯ ประหารชีวิตนักโทษ 47 คนในข้อหาก่อการร้าย นักโทษส่วนใหญ่นับถือนิกายสุหนี่ แต่หนึ่งในนั้นคือชีคนิมร์ อัล-นิมร์ นักการศาสนานิกายชีอะห์ ซึ่งได้จุดกระแสความโกรธแค้นในกลุ่มผู้นับถือนิกายชีอะห์ในภูมิภาค โดยเฉพาะในอิหร่านที่ส่วนใหญ่นับถือนิกายชีอะห์

หลังจากที่สถานทูตของตนถูกเผา ซาอุฯ ตอบโต้อิหร่านทันควันด้วยการประกาศตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับอิหร่านและเรียกร้องให้พันธมิตรของตนทำตาม ล่าสุดเมื่อวันจันทร์ (4 ม.ค.) พันธมิตรของซาอุฯ 3 ชาติ ประกาศตัดลดความสัมพันธ์ทางการทูตกับอิหร่าน โดยบาห์เรนกับซูดานตัดความสัมพันธ์ทางการทูต ขณะที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ลดความสัมพันธ์ทางการทูต
นักวิเคราะห์ของหนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียนในอังกฤษชี้ว่าการบุกทำลายและเผาสถานทูตซาอุฯ โดยกลุ่มสายแข็งกร้าวในอิหร่านครั้งนี้ มองได้ว่าอิหร่านทำร้ายตัวเอง เหมือนกับนักฟุตบอลที่ยิงเข้าประตูของตัวเอง โดยขณะนี้ประเด็นได้เบี่ยงเบนจากเรื่องซาอุฯ สังหารนักโทษไปอยู่ที่วิกฤตทางการทูตที่อิหร่านกำลังเผชิญอยู่ หลายฝ่ายกำลังเฝ้าจับตาดูว่าจะมีพันธมิตรของซาอุฯ ออกมาประกาศตัดลดความสัมพันธ์ทางการทูตกับอิหร่านเพิ่มอีกหรือไม่
การสังหารชีคอัล-นิมร์ เป็นโอกาสที่อิหร่านจะอ้างได้ว่าซาอุฯ ซึ่งคนส่วนใหญ่นับถือนิกายสุหนี่ จะต้องถูกประณาม เพราะเริ่มจุดกระแสความขัดแย้งทางศาสนาในภูมิภาค แต่อิหร่านกลับยิงประตูของตัวเอง ด้วยการเผาสถานทูตซาอุฯ
อย่างไรก็ตาม การโจมตีสถานทูตต่างชาติเป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอิหร่าน โดยหลังจากการปฏิวัติอิสลามเมื่อปี พ.ศ. 2522 กลุ่มนักศึกษาอิหร่านที่เคืองแค้นสหรัฐฯ ที่หนุนหลังพระเจ้าชาห์ ได้บุกเข้าไปในสถานทูตสหรัฐฯ ในกรุงเตหะรานและจับนักการทูต 52 คนไว้เป็นตัวประกัน เหตุการณ์ครั้งนั้นยืดเยื้อถึง 444 วัน กลายเป็นวิกฤตตัวประกันที่ยังส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างอิหร่านกับสหรัฐฯ มาจนถึงทุกวันนี้
ต่อมาเมื่อปี 2554 นักศึกษาอีกกลุ่มบุกทำลายสถานทูตสหราชอาณาจักรในกรุงเตหะราน ส่งผลให้สหราชอาณาจักรตอบโต้ด้วยการขับนักการทูตอิหร่านออกจากกรุงลอนดอน
แม้ในเหตุบุกทำลายและเผาสถานทูตซาอุฯ ประธานาธิบดีฮัสซัน โรฮานี ของอิหร่านจะออกมาประณามผู้ก่อเหตุ ผิดกับครั้งกรณีวิกฤตตัวประกันสหรัฐฯ ที่อยาตอลลาห์ โคไมนี ผู้นำสูงสุดของอิหร่านในยุคนั้นออกมากล่าวชื่นชมกลุ่มนักศึกษา แต่เรื่องที่เกิดขึ้นล่าสุดก็ไม่ได้ช่วยให้ภาพของอิหร่านดีขึ้น เพราะถูกมองว่าใช้ความรุนแรงและป่าเถื่อน
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่อิหร่านกับซาอุฯ บาดหมางกันรุนแรง ถึงขั้นตัดความสัมพันธ์ทางการทูต แต่ในครั้งนี้นักวิเคราะห์หลายฝ่ายเกรงว่าสถานการณ์อาจบานปลายและรุนแรงกว่าครั้งก่อน ๆ น้ำเสียงของแต่ละฝ่ายแข็งกร้าว กระทรวงต่างประเทศอิหร่านบอกว่าซาอุฯ ใช้เหตุการณ์โจมตีสถานทูตเป็นข้ออ้างเพื่อโหมกระพือความตึงเครียดในภูมิภาค
ด้านซาอุฯ บอกว่าทางการอิหร่านสมรู้ร่วมคิดกับกลุ่มผู้โจมตีสถานทูตของตนในกรุงเตหะราน เอกสารและคอมพิวเตอร์ของซาอุฯ ถูกนำออกไปจากสถานทูต เจ้าหน้าที่สถานทูตร้องขอความช่วยเหลือจากกระทรวงต่างประเทศอิหร่านถึงสามครั้ง แต่อิหร่านไม่สนใจ
นักวิเคราะห์คนหนึ่งของอัลจาซีรามองว่าการตัดความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างอิหร่านกับซาอุฯ เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ เพราะสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างสองชาติในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา กรณีซีเรียกับเยเมน มาถึงจุดสุกงอมแล้ว โดยทั้งสองชาติหนุนหลังฝ่ายตรงข้ามกัน
ในเยเมน ซาอุฯ เป็นแกนนำแนวร่วมเพื่อปราบกลุ่มกบฏฮูตีที่เป็นสายชีอะห์ โดยซาอุฯ กล่าวหาอิหร่านว่าหนุนหลังฝ่ายกบฏ กรณีซีเรีย อิหร่านต้องการให้พันธมิตรของตน คือประธานาธิบดีบาชาร์ อัสซาด อยู่ในอำนาจต่อไป ขณะที่ซาอุฯ บอกว่าปธน. อัสซาดต้องไป
ที่ผ่านมามีความพยายามระหว่างประเทศเพื่อให้อิหร่านกับซาอุฯ เข้าร่วมการเจรจาสันติภาพเรื่องซีเรียกับเยเมน แต่ตอนนี้ทั้งสองชาติตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกันแล้ว โอกาสของทางออกในซีเรียกับเยเมนยิ่งริบหรี่ลงไปอีก
สหประชาชาติ (ยูเอ็น) เป็นห่วงสถานการณ์ไม่น้อย โดยนายบัน คี-มุน เลขาธิการยูเอ็นเตรียมส่งผู้แทนพิเศษของยูเอ็นไปอิหร่านและซาอุฯ แถลงการณ์ของยูเอ็นเรียกร้องให้ทั้งอิหร่านและซาอุฯ เลี่ยงการกระทำใด ๆ ก็ตามที่จะทำให้สถานการณ์ระหว่างสองประเทศและในภูมิภาคเลวร้ายลงไปอีก
ผู้นำชาติมหาอำนาจต่างออกมาเรียกร้องให้อิหร่านกับซาอุฯ ยับยั้งชั่งใจ แต่นักวิเคราะห์ของบีบีซีชี้ว่า สหรัฐฯ เองอยู่ในสถานะที่ลำบาก เพราะสหรัฐฯ เป็นพันธมิตรกับซาอุฯ มายาวนาน ข้อตกลงระหว่างสหรัฐฯ กับอิหร่านเรื่องโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านและการที่อิหร่านหนุนซีเรีย ส่งผลให้ภูมิภาคตะวันออกกลางมีความอ่อนไหวเพิ่มขึ้น
สำหรับชาติอาหรับในอ่าวเปอร์เซียหลายชาติ ภัยคุกคามจากอิหร่าน ไม่ได้อยู่ที่เรื่องโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน แต่มาจากการที่อิหร่านหนุนหลังกลุ่มติดอาวุธไร้รัฐ อย่างเช่นกลุ่มฮิซบอลลาห์ และกลุ่มกบฏฮูตีในเยเมน
นักวิเคราะห์ของอัลจาซีราชี้ว่า ชาติตะวันตกจะต้องวางตัวเป็นกลางและหาทางให้ทั้งสองชาติหันหน้าเข้ามากัน แต่จะทำได้สำเร็จหรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ที่เห็นได้ชัดในตอนนี้คือสถานการณ์ในเยเมนกับซีเรียจะยืดเยื้อไปอีกนาน
ขอบคุณภาพประกอบจาก : www.dailynews.co.th
