'ซูจี'ผลักดันพม่าสู่ประชาคมโลก
นักวิเคราะห์มอง"อองซาน ซูจี"ปรับบทบาทจากสัญลักษณ์ของความทุกข์ยาก เป็นผู้ผลักดันพม่าสู่ประชาคมโลก
ในช่วงปีที่ว่างเว้น นางอองซาน ซูจี ผู้นำการเรียกร้องประชาธิปไตยในพม่า ได้เปลี่ยนแปลงตัวเองจากผู้ที่เป็นสัญลักษณ์แห่งความทุกข์ยากของประเทศที่กดขี่ ไปสู่การเป็นตัวแทนที่ทรงอิทธิพลอย่างใหญ่หลวงต่อกระบวนการปฏิรูปที่รุดหน้า อย่างรวดเร็ว
ก่อนที่นางซูจี จะได้รับการปล่อยตัวจากถูกกักบริเวณในบ้านพักเมื่อปีที่แล้ว นางซูจี หรือ" เดอะ เลดี้ " ได้ถูกแยกตัวและอยู่อย่างเงียบเชียบภายในบ้านเก่าทรุดโทรมริมทะเลสาปใน ย่างกุ้ง แต่ก็เป็นในฐานะของสัญลักษณ์ที่ทรงอำนาจของชาติแห่งชนชั้นแรงงาน ภายใต้การปกครองอย่างกดขี่ของรัฐบาลทหาร
ปัจจุบัน รัฐบาลพลเรือนแต่ในนามของพม่า เริ่มที่จะหวนกลับคืนไปสู่เวทีสากล และนางซูจีก็พบว่า ตัวเองยืนอยู่ในจุดที่ทรงอิทธิพลที่แตกต่างไปจากเดิม ประธานาธิบดีบารัก โอบามา ได้โทรศัพท์หารือกับนางซูจี ก่อนประกาศว่าจะส่งนางฮิลลารี่ คลินตัน รัฐมนตรีต่างประเทศไปเยือนพม่า และเป็นการเยือนพม่าครั้งแรกในรอบ 50 ปี ของรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ
นายอ่อง เน็ง อู นักวิเคราะห์เกี่ยวกับพม่า ให้ความเห็นว่า นางซูจี มีบาทบาทสำคัญอย่างยิ่ง เธอมีความเกี่ยวข้องระหว่างตะวันตกกับพม่าและการที่พม่าจะ หวนกลับคืนสู่ประชาคมโลกอีกครั้ง และในขณะที่ปรากฎการณ์อาหรับ สปริง ยังคงลุกลามและสร้างความปั่นปวนให้กับภูมิภาคตะวันออกกลาง พวกนักการทูตตะวันตกต่างระบุว่า พม่าอาจจะโชคดีกว่าที่มีบุคคลที่เชื่อถือได้ในการทำให้ประเทศเป็นปึกแผ่น โดยถ้าเธอทำตัวเป็นผู้นำสายกลางอย่างที่ทุกคนคาดหวัง พม่าก็จะมีสถานการณ์ที่ดีกว่าอีกหลายประเทศ
การเลือกตั้งเมื่อปีที่แล้ว ทำให้รัฐบาลใหม่ก้าวขึ้นสู่อำนาจ หลังตกอยู่ภายใต้การปกครองของทหารมานานหลายทศวรรษ แต่แม้จะยังอยู่ภายใต้ร่มเงาของกองทัพ แต่ก็สร้างความประหลาดใจที่มีความคืบหน้าในการปฏิรูปหลายระลอก พรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (เอ็นแอลดี) ของนางซูจี ได้กลับไปขอจดทะเบียนพรรคการเมืองเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากคว่ำบาตรการเลือกตั้ง ซึ่งแสดงถึงย้างก้าวแรกไปสู่การลงสมัครรับเลือกตั้งซ่อม ที่ยังไม่ได้กำหนดวัน แต่ก็คาดว่า นางซูจีจะลงสมัครด้วย ท่ามกลางการต้อนรับจากประธานาธิบดีเต็ง เส่ง อดีตนายพลแห่งกองทัพและรัฐบาลชุดเก่า
จิม เดลลา จิอาโคมา ผู้อำนวยการโครงการเอเชียตะวันออกของกลุ่มวิกฤตระหว่างประเทศ(ไอซีจี) ระบุว่า นางซูจี วัย 66 ปี เป็นทรัพย์สินอันมีค่าของพรรคการเมืองฝ่ายค้าน เธอเป็นคนเดียวที่กำลังสื่อสารโดยตรงกับสภาคองเกรสส์ของสหรัฐ ที่รับผิดชอบโดยตรงต่อการตัดสินใจยกเลิกมาตรการคว่ำบาตร และยังเป็นบุคคลที่โดดเด่นในระดับสากล ซึ่งหาไม่ได้จากฝ่ายค้านคนอื่น ๆ
การเคลื่อนไหวเข้าสู่กระแสการเมืองล่าสุด เป็นบริบทล่าสุด ในชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ดูเหมือนว่าบทบาทวีรสตรีของชาติของเธอ จะไม่ได้ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้า เธอเป็นบุตรสาวนายพลอองซาน วีรบุรุษของชาติผู้ทำให้พม่าได้รับเอกราช แต่เริ่มก้าวเขาสู่วงการการเมืองค่อนข้างช้า เพราะใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในต่างประเทศ
นางซูจี จบการศึกษานากมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด และแต่งงานกับนายไมเคิล อาริส นักวิชาการชาวอังกฤษ มีบุตรชายด้วยกัน 2 คน และดูเหมือนจะปักหลักตั้งรกรากอยู่ที่อังกฤศ แต่หลังจากกลับไปย่างกุ้งเมื่อปี 2531 เพื่อดูแลมารดาที่ป่วย ก็ได้เกิดการประท้วงต่อต้านรัฐบาลทหาร ที่ยุติลงด้วยการกวาดล้างนองเลือด จนมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 3 พันคน ต่อมาเธอได้รับบทบาทของการเป็นผู้นำการเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตย กล่าวปราศรัยต่อฝูงชนหลายแสนคน
การเป็นผู้นำ ที่ได้รับการสนับสนุน กลายเป็นสัญญาณเตือนภัยให้กองทัพกักบริเวณเธอเป็นครั้งแรก เมื่อปี 2532 แต่เธอยังคงเป็นหัวหน้าพรรคเอ็นแอลดี ที่ชนะการเลือกตั้ง เมื่อปี 2533 แต่ไม่เคยได้ก้าวขึ้นสู่อำนาจ จนกระทั่งปี 2534 เธอได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ทำให้เธอถูกยกขึ้นไปยืนแถวหน้าเคียงข้างวีรบุรุษของชาวแอฟริกา เนลสัน แมนเดล่า ในกลุ่มของผู้ที่กล้าต่อกรกับอำนาจเผด็จการ การต่อสู้เพื่อประเทศของเธอ แลกมาด้วยความสูญเสียต่อ
ตัวเธอเอง สามีของเธอเสียชีวิตเมื่อปี 2542 หลังจากรัฐบาลทหารพม่าไม่ยอมให้วีซ่าเข้าประเทศไปพบหน้าภรรยา ขณะป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย
นางซูจี ไม่ยอมเดินทางออกจากพม่าไป พบหน้าเขา เพราะมั่นใจว่า เธอจะไม่ได้รับอนุญาตให้กลับเข้าประเทศอีก หลังจากใช้ไม้แข็งตอบโต้รัฐบาลทหารมาหลายปี ดูเหมือนนางซูจีจะหันไปใช้ไม้นวม เพื่อประคับประคองประเทศในความพยายามที่จะหลุดพ้นจากการถูกโดดเดี่ยวจากนานา ชาติให้สำเร็จ เธอเพิ่งจะแถลงในพรรคเอ็นแอลดี ในเดือนนี้ว่า บางคนอาจวิตกว่าการเข้าไปยุ่งเกี่ยวอาจทะลายศักดิ์ศรีของเธอ แต่ถ้าจะเล่นการเมือง ก็ไม่ควรจะคำนึงถึงเรื่องศักดิ์ศรีอีกต่อไป . 
