“บิ๊กตู่” ใช้ ม.44 เปิดกรุ ขรก.ระดับสูงครึ่งร้อย รองรับพวกเกียร์ว่าง
พล.อ.ประยุทธ์ ใช้ ม.44 ปรับปรุงประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการ เปิดกรุ ขรก.ระดับสูง 50 อัตรา ไว้รองรับถูกเชือด
วันที่ 1 ก.พ. ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๕/๒๕๕๙ เรื่อง มาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการ
โดยที่การปรับปรุงประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการตามอำนาจหน้าที่ในกฎหมายและระเบียบปฏิบัติต่าง ๆ ตลอดจนการขับเคลื่อนภารกิจสำคัญตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลเพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน การอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน การเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจ และการพัฒนาประเทศ ตามหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี และปราศจากการทุจริตและประพฤติมิชอบ เป็นนโยบายสำคัญของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ คณะรัฐมนตรี และสอดคล้องกับประเด็นปฏิรูปทั้งของสภาปฏิรูปแห่งชาติและสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๔๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว)พุทธศักราช ๒๕๕๗ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ โดยความเห็นชอบของคณะรักษาความสงบแห่งชาติเห็นควรกำหนดมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการของบุคลากรภาครัฐเพื่อประโยชน์ในการปฏิรูประบบการบริหารราชการแผ่นดิน จึงมีคำสั่งดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้มีการประเมินส่วนราชการ และข้าราชการพลเรือนในความรับผิดชอบของฝ่ายบริหารโดยยึดหลักการประเมิน ดังนี้
(๑) ประเมินประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานประจำหรืองานตามหน้าที่ปกติ ได้แก่ งานตามกฎหมายกฎ มติคณะรัฐมนตรี นโยบายของรัฐบาล
(๒) ประเมินประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานตามยุทธศาสตร์ นโยบาย หรือภารกิจที่มอบหมายเป็นพิเศษแก่บางหน่วยงานหรือข้าราชการบางตำแหน่งหน้าที่ เช่น ภารกิจในการปฏิรูปการสร้างความปรองดอง การแก้ปัญหาสำคัญเฉพาะเรื่อง
(๓) ประเมินประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานตามพื้นที่หรือการบูรณาการการปฏิบัติงานหลายพื้นที่หรือหลายหน่วยงานเพื่อผลสัมฤทธิ์ร่วมกัน เช่น งานที่ต้องประสานและร่วมมือระหว่างจังหวัดระหว่างกรม หรือกระทรวง และงานตามนโยบายประชารัฐซึ่งภาครัฐพึงทำงานร่วมกับท้องถิ่น ภาคประชาชนหรือองค์กรสาธารณประโยชน์
ข้อ ๒ การประเมินตามข้อ ๑ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการ ดังนี้
(๑) ผู้รับการประเมิน ได้แก่ ส่วนราชการระดับกรมและกระทรวง ข้าราชการพลเรือน ประเภทบริหารระดับสูง
(๒) ผู้ประเมิน ให้มีผู้ทำหน้าที่ประเมินส่วนราชการหรือข้าราชการ ประกอบด้วย
๒.๑ นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี หรือ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายหรือมอบอำนาจให้กำกับการบริหารราชการ และกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการเขตตรวจราชการในภูมิภาค
๒.๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง
๒.๓ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการในกรณีประเมินส่วนราชการระดับกรมและกระทรวง และเลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในกรณีประเมินข้าราชการการประเมินสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ และสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน และเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการและเลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน ให้ใช้ผลการประเมินของผู้ประเมินตาม ๒.๑ และ ๒.๒ให้ผู้ประเมินตามข้อนี้ลงนามรับรองผลการประเมินด้วย
(๓) แบบประเมิน ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ และสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนร่วมกันจัดทำแบบประเมินส่วนราชการและแบบประเมินข้าราชการผู้รับการประเมินตามหลักการประเมินในข้อ ๑ โดยให้มีการประเมินความรู้ ความสามารถ ทักษะและสมรรถนะ ความวิริยะอุตสาหะ การอุทิศเวลาแก่ราชการ ประสิทธิภาพในการให้บริการและอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน การเบิกจ่ายงบประมาณตามเป้าหมาย การสร้างความรับรู้ความเข้าใจแก่ประชาชน การปฏิบัติงานเชิงรุกเพื่อให้ทันกับสถานการณ์ ความคิดริเริ่ม ความซื่อสัตย์สุจริตการมีธรรมาภิบาล และความพึงพอใจของประชาชนผู้รับบริการประกอบกัน
(๔) แนวทางการประเมิน ในการประเมิน หากมีผลการประเมินจากหน่วยงานกลางเช่น สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือจากองค์กรภายนอกระบบราชการที่มีการประเมินประเทศในภาพรวมและเป็นที่ยอมรับทั่วไป และเกี่ยวข้องกับความรับผิดชอบส่วนราชการใด ให้ผู้ประเมินนำมาพิจารณาประกอบด้วย
(๕) ผลการประเมิน ให้รองนายกรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องรายงานผลการประเมินตามคำสั่งนี้ต่อนายกรัฐมนตรีภายในสัปดาห์ที่สองของเดือนเมษายนและเดือนกันยายน เพื่อทราบ หรือประกอบการพิจารณาแต่งตั้ง โยกย้าย หรือพิจารณาความดีความชอบหรือลงโทษตามกฎหมายและระเบียบราชการในระหว่างเวลาดังกล่าว รองนายกรัฐมนตรีอาจเสนอรายงาน ตั้งข้อสังเกตและข้อเสนอแนะต่อนายกรัฐมนตรีเพื่อกำหนดมาตรการเร่งด่วนได้ ทั้งนี้ ให้การดำเนินการทุกระดับมีความเป็นธรรม มิให้เกิดการกลั่นแกล้ง ในกรณีเมื่อมีการประเมินแล้วพบว่าข้าราชการผู้ใดทำผิดวินัยหรือกฎหมาย ให้ดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ข้อ ๓ การประเมินหน่วยงานและข้าราชการอื่นนอกเหนือจากข้อ ๒ ให้ดำเนินการตามมาตรการในคำสั่งนี้โดยอนุโลมเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับกฎหมาย ระเบียบปฏิบัติปกติ ดังนี้
(๑) การประเมินข้าราชการพลเรือนระดับต่ำกว่าข้าราชการตามข้อ ๒ (๑) ให้ผู้บังคับบัญชาจัดให้มีการประเมิน
(๒) การประเมินหน่วยงานของรัฐในความรับผิดชอบของฝ่ายบริหาร ได้แก่ รัฐวิสาหกิจและองค์การมหาชน ให้หน่วยงานกลางที่เกี่ยวข้องจัดให้มีการประเมิน
(๓) การประเมินข้าราชการทหารและข้าราชการตำรวจ ให้กระทรวงกลาโหม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติแล้วแต่กรณี จัดให้มีการประเมิน
ข้อ ๔ ให้มีกรอบอัตรากำลังชั่วคราวเป็นกรณีพิเศษในสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนจำนวนห้าสิบอัตรา เพื่อรองรับการบรรจุและแต่งตั้งข้าราชการพลเรือน ประเภทวิชาการระดับเชี่ยวชาญ ประเภทอำนวยการระดับสูง หรือประเภทบริหารระดับต้น หรือข้าราชการอื่นที่มิใช่ข้าราชการพลเรือน แต่ดำรงตำแหน่งเทียบเท่า โดยนายกรัฐมนตรีมีอำนาจออกคำสั่งให้โอนหรือย้ายมา หรือเลื่อนให้ดำรงตำแหน่งสูงขึ้นในระดับดังกล่าวโดยขาดจากตำแหน่งหน้าที่และอัตราเงินเดือนเดิม ไม่ว่าข้าราชการผู้นั้นจะมีความผิดหรืออยู่ระหว่างการถูกตรวจสอบหรือไม่ก็ตาม
ในกรณีที่ส่วนราชการใดต้องการให้ข้าราชการตามกรอบอัตรากำลังชั่วคราวดังกล่าวไปปฏิบัติราชการที่ส่วนราชการนั้น รัฐมนตรีที่สั่งและปฏิบัติราชการส่วนราชการนั้นอาจเสนอนายกรัฐมนตรีเพื่อมีคำสั่งให้ข้าราชการดังกล่าวไปดำรงตำแหน่ง ณ ส่วนราชการนั้นก็ได้เมื่อมีการบรรจุและแต่งตั้งข้าราชการผู้ใดตามวรรคหนึ่งแล้ว ให้ประธานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนมอบหมายงานให้ข้าราชการผู้นั้นปฏิบัติ โดยคำนึงถึงความรู้ ความสามารถและความเหมาะสมตามหน้าที่ที่เคยปฏิบัติ หรืออาจมอบหมายให้ข้าราชการผู้นั้นไปปฏิบัติงานหรือช่วยราชการณ ส่วนราชการใดเป็นการชั่วคราวได้
ให้สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนกำหนดชื่อตำแหน่ง อัตราเงินเดือน เงินประจำตำแหน่งตามกฎหมายและระเบียบของทางราชการ และกำหนดวิธีปฏิบัติตามข้อนี้ ในกรณีมีปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติให้เสนอปัญหาและแนวทางแก้ไขให้คณะกรรมการข้าราชการพลเรือนวินิจฉัย คำวินิจฉัยดังกล่าวให้เป็นที่สุดเมื่อหมดความจำเป็นแล้ว นายกรัฐมนตรีอาจมีคำสั่งให้ยุบเลิกกรอบอัตรากำลังชั่วคราวตามข้อนี้ทั้งหมดหรือบางส่วนได้
ข้อ ๕ คำสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
สั่ง ณ วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๕๙
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ