หอการค้าฯ ตอกย้ำ สถานการณ์คอร์รัปชั่น แย่ลงจริง

ดร.เสาวณีย์ ระบุ ไม่ว่าจะไปสำรวจกี่กลุ่มตัวอย่าง ห่างกันกี่เดือน ต่างชาติ หรือคนไทยสำรวจ ก็พบคนยังเชื่อ สถานการณ์คอร์รัปชั่น ไม่ดีขึ้น ด้าน ดร.กนกกาญจน์ ยันไม่มียาดี ใช้ทีเดียวแล้วเห็นผล ต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจ
ดร.กนกกาญจน์ อนุแก่นทราย องค์กรเพื่อความโปร่งใสในประเทศไทย (Transparency Thailand) สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ให้สัมภาษณ์กับศูนย์ข้อมูลข่าวสารปฏิรูปประเทศไทย ถึงผลการจัดอันดับดรรชนีชี้วัดภาพลักษณ์คอร์รัปชั่นประจำปี พ.ศ. 2554 หลังสำรวจพบ ประเทศไทยได้ 3.4 คะแนน จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน อยู่อันดับที่ 80 จากการจัดอันดับทั้งหมด 183 ประเทศทั่วโลก และอยู่อันดับที่ 10 จาก 26 ประเทศในภูมิภาคเอเชีย ว่า ดัชนีชี้วัด เป็นมุมมองถึงภาพลักษณ์สถานการณ์คอร์รัปชั่นในประเทศไทย ซึ่งก็สะท้อนชัดเจนว่า ที่ระยะนี้คะแนนอยู่ในระดับคงที่ เนื่องจากคนทั่วไปยังมองว่า ประเทศเรามีปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นอยู่
“ผลการสำรวจดัชนีชี้วัดเป็นการสำรวจจากหลายสำนัก อย่างในปีนี้สรุปจาก 13 สำนัก มีคะแนนค่อนข้างหลากหลาย บางสำนักให้คะแนนเรา 4.4 บางสำนักของ 2.1 เฉลี่ยแล้ว ที่ผ่านมาได้มากที่สุด 3.6-3.7 คะแนน ซึ่งก็มีการวิเคราะห์และแถลงทุกปี บางสำนักวิเคราะห์เกี่ยวกับความเสียงทางเศรษฐกิจและการเมือง และบางสำนักวิเคราะห์เกี่ยวกับ ความสามารถในการแข่งขัน โดยใช้การตั้งคำถามในลักษณะเดียวกัน เช่น ถามนักธุรกิจว่า เคยเจอปัญหาการคอร์รัปชั่นหรือไม่ ปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นในระดับชาติมีอยู่หรือไม่ ผลก็สะท้อนออกมาชัดว่า ปัญหายังมีอยู่จริงๆ”
ดร.กนกกาญจน์ กล่าวต่อว่า ขณะเดียวกันหลายภาคส่วนในประเทศไทยมีความพยายามและตื่นตัวอย่างมากที่จะแก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่น การวัดดัชนีก็เป็นเหมือน"ปรอทวัดไข้" ที่พบปัญหาว่า สถานการณ์ไม่ได้แย่ลง แต่ก็ไม่ดีขึ้น ยังทรงตัว ซึ่งการตั้งคำถามก็ไม่ได้มุ่งประเด็นมาว่า ประเทศไทยได้ทำอะไรเพื่อให้สถานการณ์นี้ดีขึ้นบ้าง
“ปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นยังมีอยู่ แม้ว่าเราจะพยายามตื่นตัวมากพอสมควรแล้วก็ตาม แต่เนื่องจากเป็นปัญหาที่สั่งสมมายาวนาน ก็ยากที่จะแก้ไข ต้องค่อยๆ ขยับอันดับ ไม่มียาดีที่จะใช้ทีเดียวแล้วเห็นผล ต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจ อาศัยคนทำเรื่องใหญ่ๆ ให้เห็น ให้เชื่อมั่นว่าเรื่องนี้ดีจริง”
ดร.กนกกาญจน์ กล่าวด้วยว่า การเปลี่ยนแปลงคะแนน และสถานการณ์คอร์รัปชั่นในไทยต้องใช้เวลา แต่ต้องตั้งคำถามด้วยว่า ทำไมต้องใช้เวลา เครื่องมือที่เราใช้ยังไม่เห็นผล หรือเราเพิ่งเริ่มต้นและเราจะทำให้เห็นผลได้อย่างไร ส่วนการที่ภาคเอกชนออกมาประกาศตัวอย่างชัดเจนนั้นก็เป็นเรื่องที่ดี แต่หลังจากนั้นจะมีกิจกรรมอะไรต่อเพื่อให้การแก้ปัญหาเกิดขึ้นได้
หอการค้าฯ ตอกย้ำ คอร์รัปชั่นโรคเรื้อรัง ยังไม่ดีขึ้น
ขณะที่ รศ.ดร.เสาวณีย์ ไทยรุ่งโรจน์ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวในงานแถลงข่าวผลการประชุมภาคีเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชั่น ณ ห้องประชุม 1104 ชั้น 11 อาคารตลาดหลักทรัพย์ฯ ถ.รัชดาภิเษก ถึงภาพลักษณ์คอร์รัปชั่นไทย ไม่ว่าต่างชาติหรือไทยทำการสำรวจสถานการณ์คอร์รัปชั่นก็แย่ลง และไม่ว่าจะไปสำรวจกี่กลุ่มตัวอย่าง หรือห่างกันกี่เดือนก็ตาม คนยังเชื่อว่า สถานการณ์คอร์รัปชั่น ไม่ดีขึ้น เพราะเป็นปัญหาเรื้อรังมากว่า 30 ปี
รศ.ดร.เสาวณีย์ กล่าวถึงดัชนีความเห็นต่อสถานการณ์คอร์รัปชั่นไทย (Thai Corruption Perception Index:Thai CPI) ซึ่งสำรวจรายเดือน โดยพบว่า ดัชนีความคิดเห็นต่อปัญหาคอร์รัปชั่นในปัจจุบัน เดือนตุลาคม 2554 ดัชนีปรับตัวลดลง จาก 65.4 เดือนกันยายน 2554 มาอยู่ที่ 64.4 ส่วนดัชนีความคิดเห็นต่อปัญหาคอร์รัปชั่นในอนาคต ปรับตัวลดลง จาก 93.9 ในเดือนกันยายน 2554 มาอยู่ที่ 90.8 ในเดือนตุลาคม 2554
“ดัชนีความเห็นต่อการคอร์รัปชั่น หอการค้าไทย ทำ Thai CPI ซึ่งเป็นทัศนะ และ ดัชนีสถานการณ์คอร์รัปชั่นไทย (Corruption Situation Index : CSI) สถานการณ์จริง มีการสำรวจทุก 6 เดือน ก็พบว่า เดือนมิถุนายน 2554 อยู่ที่ 3.4 โดยสอดคล้องกับดัชนีภาพลักษณ์คอร์รัปชั่น ที่นานาชาติมองประเทศไทย ขององค์กรเพื่อความโปร่งใสในประเทศไทย ที่ได้ตัวเลขไม่ต่างกัน"
63% ฟันธงปีหน้าโกงหนักอีก
นอกจากนี้ รศ.ดร.เสาวณีย์ กล่าวถึงการสำรวจทัศนะของประชาชนต่อปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น ในเดือนพฤศจิกายน 2554 จำนวน 1,200 ตัวอย่าง อายุระหว่าง 26-30 ปี พบ ร้อยละ 33.4 บอกเรื่องเร่งด่วนที่รัฐบาลควรแก้ไข คือปัญหาน้ำท่วม รองลงมาเป็น ค่าครองชีพ การเพิ่มรายได้ของประชาชน และปัญหาคอร์รัปชั่น ตามลำดับ
เมื่อถาม ปัญหาคอร์รัปชั่น เป็นปัญหาที่มีความสำคัญมากน้อยเพียงใด ในการพัฒนาประเทศไทย ร้อยละ 66.7 ของกลุ่มตัวอย่าง ตอบว่า มาก โดยเพิ่มขึ้นจากการสำรวจเมื่อเดือน กันยายน 2554 ที่อยู่ที่ร้อยละ 56.7
เช่นเดียวกันกับเมื่อถามว่า ปัจจุบันปัญหาคอร์รัปชั่นของประเทศไทยมีมากน้อยเพียงใด มีกลุ่มตัวอย่างถึงร้อยละ 72.4 คิดว่าปัญหาคอร์รัปชั่นของไทยมีมาก และร้อยละ 63.1 คิดว่ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในปีหน้า
และเมื่อถามว่า หากพบเห็นการทุจริตคอร์รัปชั่น จะทำอย่างไร กลุ่มตัวอย่าง ซึ่งมากถึงร้อยละ 60.7 บอกเฉยๆ ไม่ทำอะไร โดยให้เหตุผล แจ้งไปก็ไม่เห็นผล กลัวเดือดร้อน ไม่เกี่ยวกับตัวเรา และเห็นเป็นเรื่องปกติ
70% เชื่อมีโอกาสเกิดคอร์รัปชั่น ใช้งบฯ ช่วงน้ำท่วม
ขณะที่ในช่วงน้ำท่วม การใช้งบประมาณของรัฐ ร้อยละ 69.8 เชื่อว่า มีโอกาสเกิดการคอร์รัปชั่น พร้อมให้เหตุผล สินค้าในถุงยังชีพคุณภาพต่ำ และมีของเสีย การเบิกจ่ายในรูปแบบพิเศษ ขาดการตรวจสอบ การจัดซื้อสิ่งของเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยจำนวนมาก และราคาสินค้าซื้อสูงกว่าราคาปกติ
แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีกลุ่มตัวอย่าง ร้อยละ 30.2 เห็นว่า ไม่มีการคอร์รัปชั่นเกิดขึ้น เพราะมีระเบียบรองรับอย่างชัดเจน และตรวจสอบได้
อีกทั้ง ในการฟื้นฟูเยียวยาประเทศหลังวิกฤติน้ำท่วมในอนาคต กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 35.8 และ 29.2 คาดว่า มีโอกาสจะเกิดการคอร์รัปชั่นได้มาก และมากที่สุด ซึ่งเมื่อรวมความเห็น 2 ส่วนนี้ มีมากถึงร้อยละ 60 เชื่อว่ามีโอกาสเกิดคอร์รัปชั่นในการใช้งบประมาณหลังน้ำลด
ส่วนกิจกรรมที่มีโอกาสคอร์รัปชั่นหลังน้ำลด กลุ่มตัวอย่าง ร้อยละ 39.4 มองไปที่การซ่อมถนน สะพาน, ร้อยละ 12.7 เรื่องการซื้ออุปกรณ์ที่เสียหายของรัฐ,ร้อยละ 15.9 การจ่ายเงินชดเชยน้ำท่วม,ร้อยละ 14.2 ชดเชยพันธุ์พืช พันธุ์สัตว์,ร้อยละ 13.4 การให้ความช่วยเหลือด้านต่างๆ ตามนโยบายของภาครัฐ และอื่นๆ ร้อยละ 4.4
ข่าวที่เกี่ยวข้อง: จัดอันดับคอร์รัปชัน ไทยย่ำอยู่กับที่ ติดอันดับ 80 จาก 183 ทั่วโลก
