‘วัชรพล’เปิดอกเป็น ปธ.ป.ป.ช.ทำงานเพื่อชาติ-เอาวัฒนธรรม ตร.มาใช้ผิดอะไร?
“…การปฏิบัติต่างหากจะเป็นตัวชี้วัดว่าทำอย่างไรให้ถูกต้อง เมื่อขึ้นมาอยู่ตรงนี้ ถูกสอดส่องอย่างมากมาย ถูกสอดส่องจากสื่อเยอะแยะ วันนี้ยังพูดกับน้อง ๆ และ ผอ.สำนักต่าง ๆ ว่า มีตำรวจอยู่แล้วหนึ่งคน เมื่อมีตำรวจมาเพิ่มอีก จะกลายเป็นว่าเอาวัฒนธรรมตำรวจมาใช้กับองค์กรนี้หรือไม่ วัฒนธรรมนั้นดีงาม ผมเป็นตำรวจมาตลอดชีวิต มีเกียรติประวัติอย่างนี้ เอาสิ่งดีงามมาใช้ที่ ป.ป.ช. มันจะเสียหายอะไร…”

หมายเหตุ สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org : พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดใจถึงกรณีถูกครหาว่ามีความใกล้ชิดฝ่ายการเมือง และเครือข่ายคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ตอนหนึ่ง ดังนี้
กรณีที่เข้าไปรับตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง (พล.อ.ประวิตร) นั้น เนื่องจาก พล.อ.ประวิตรทาบทาม เนื่องจากเคยมีประสบการณ์ทำหน้าที่นี้มาก่อนช่วงปี 2534 ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร เป็นทหารมาตลอดชีวิต ไม่ทำเรื่องเกี่ยวกับตำรวจ เมื่อตามตำแหน่งต้องกำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) จำนวน 2.2 แสนคน งบประมาณกว่าแสนล้านบาท ผมจึงมาช่วยในการกลั่นกรองงาน ถือว่าเป็นโอกาสอันดีที่จะทำงานเพื่อชาติ แต่ไม่ใช่เพื่อใกล้ชิดนักการเมือง
การเมืองปัจจุบันพิเศษ รัฐบาลพิเศษ เข้ามาแก้ไขปัญหาของบ้านเมือง เมื่อเชิญชวนให้ทำงาน ก็เป็นโอกาสทำงานให้ชาติ ให้บ้านเมืองเช่นเดียวกัน เต็มใจเข้ามาทำ ในฐานะเป็นรองเลขาธิการนายกฯ แต่เมื่อมีโอกาสตรงนี้มันเปิดขึ้น มีกรรมการครบทั้ง 5 คน มีโอกาสทำงานให้ชาติอีกครั้ง ก็ลาออกจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เพื่อมาสมัคร ส่วนที่ได้มา เป็นเรื่องของคณะกรรมการสรรหา
ผมถูกตรวจสอบมากกว่าใครเพื่อน ใน สนช. บอกว่า ผมประวัติยาวเหยียด เพราะตอนปฏิบัติหน้าที่เคยถูกฟ้องทั้งทางแพ่ง อาญา และปกครอง แต่ทุกเรื่องก็จบสิ้นไป ไม่มีปัญหาอะไร เลยสมัครตรงนี้
พูดหลายทีว่า การสนิทชิดใกล้กับข้าราชการ หรือผู้ใหญ่ในสังคม ดังนั้นเมื่อรู้จัก การปฏิบัติต่างหากจะเป็นตัวชี้วัดว่าทำอย่างไรให้ถูกต้อง เมื่อขึ้นมาอยู่ตรงนี้ ถูกสอดส่องอย่างมากมาย ถูกสอดส่องจากสื่อเยอะแยะ วันนี้ยังพูดกับน้อง ๆ และ ผอ.สำนักต่าง ๆ ว่า มีตำรวจอยู่แล้วหนึ่งคน คือ พล.ต.อ.สถาพร หลาวทอง กรรมการ ป.ป.ช. เมื่อมีตำรวจมาเพิ่มอีก จะกลายเป็นว่าเอาวัฒนธรรมตำรวจมาใช้กับองค์กรนี้หรือไม่
วัฒนธรรมนั้นดีงาม ผมเป็นตำรวจมาตลอดชีวิต มีเกียรติประวัติอย่างนี้ เอาสิ่งดีงามมาใช้ที่ ป.ป.ช. มันจะเสียหายอะไร
อยู่นี่ถูกสอดส่องมากกว่า ถ้าทำไม่ดี ถูกดำเนินคดี หากผิดจริงโทษของผมสองเท่า ผมคงไม่เอาเกียรติประวัติชีวิต จนเกษียณอายุราชการ และอาสามาเต็มใจทำ มาทำอะไรที่มันไม่ถูกต้อง ผมมีความยินดีที่ถูกสนใจชีวิตในการเป็นกรรมการ ป.ป.ช. ทำให้ทำงานได้ชัดเจน ตรงไปตรงมา
คงต้องทำงานต่อไป ยืนยัน ยิ่งถูกจ้องมองยิ่งมุ่งมั่น การช่วยกันขับเคลื่อนข้าราชการ และ ป.ป.ช. คงจะต้องเหนื่อยกันมากขึ้น
