'คมนาคม' ดันลงทุน 20 สัญญา 1.7 ล้านล้าน เซ็นสัญญาปีนี้
"อภิศักดิ์"เผยพบสัญญาณการลงทุนภาครัฐที่ดี เผยคมนาคมคาดในปีนี้ผลักดันเซ็นสัญญาการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานจำนวน 20 สัญญา วงเงิน1.7ล้านล้านบาท
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศครั้งที่ 2/2559 ว่า ที่ประชุมได้รับรายงานจากกระทรวงคมนาคม เกี่ยวกับความคืบหน้าการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมขนส่ง ว่า ในปีนี้จะผลักดันให้มีการเซ็นสัญญาการลงทุนรวมได้จำนวน 20 สัญญา คิดเป็นมูลค่าโครงการ 1.7 ล้านล้านบาท
"ถือเป็นสัญญาณที่ดี เกี่ยวกับการลงทุนของประเทศ และยืนยันกับนักลงทุนได้ว่า รัฐบาลได้มีการลงทุนอย่างเป็นรูปธรรมแล้ว ซึ่งจะเป็นตัวเติมให้กับการขยายตัวเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากการส่งออก เพราะเศรษฐกิจจะเติบโตได้ ก็ต้องพึ่งพาการใช้จ่ายจากภาครัฐด้วย"
ทั้งนี้ ในจำนวน 20 สัญญาโครงการลงทุนดังกล่าวนั้น ขณะนี้ มีจำนวน 10 สัญญา ที่ได้มีการเซ็นสัญญาไปบ้างแล้ว อาทิ โครงการลงทุนรถไฟทางคู่เส้นจิระ-ขอนแก่น, โครงการลงทุนถนนมอร์เตอร์เวย์เส้นอยุธยา-มาบตาพุด, โครงการลงทุนท่าเทียบเรือแหลมฉบังชายฝั่งเอ เป็นต้น และมีบางโครงการที่จะมีการเซ็นสัญญาเร็ว ๆ นี้ เช่น โครงการลงทุนถนนมอเตอร์เวย์เส้นบางปะอิน-โคราช, โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู และสายสีเหลือง ส่วนสายสีส้มจะมีการเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อประกวดราคาในเดือน มี.ค.นี้ สำหรับอีก 10 สัญญาที่เหลือ จะมีการผลักดันให้เซ็นสัญญาแล้วเสร็จปลายปีนี้
ที่ประชุมยังได้รับรายงานถึงการส่งเสริมการลงทุนผ่านคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนด้วย ว่า ในเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา มียอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนสูงถึง 8 เท่าจากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดย มียอดขอการส่งเสริมการลงทุนจำนวน 8 พันล้านบาท ในจำนวนนี้ เป็นการขอส่งเสริมการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ จำนวน 50% สะท้อนว่า ต่างชาติให้ความสนใจเข้าลงทุนในเมืองไทย เป็นผลจากมาตรการส่งเสริมการลงทุนของรัฐบาล ซึ่งเชื่อว่า นักลงทุนที่ขอส่งเสริมการลงทุนจะเข้าลงทุนได้จริง
ทั้งนี้ เป้าหมายคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนในปี 2559 มีจำนวน 4.5 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 2 เท่านับจากปี 2558 ในจำนวนนี้ เป็นการขอรับการส่งเสริมการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศจำนวน 1.92 แสนล้านบาท หรือ 43% ของมูลค่าเป้าหมายการขอรับการส่งเสริมการลงทุนทั้งหมด
สำหรับการรายงานเกี่ยวกับมาตรการลงทุนตำบลละ 5 ล้านบาทนั้น ที่ประชุมได้รับรายงานว่า ขณะนี้ ยอดการทำสัญญาจัดซื้อจัดจ้างดีขึ้นมาก โดย มียอดการทำสัญญาแล้วจำนวน 2.5 หมื่นล้านบาท จากวงเงินรวม 3.6 หมื่นล้านบาท ในจำนวนดังกล่าว มีการเบิกจ่ายแล้ว 7 พันล้านบาท คาดว่า การเบิกจ่ายจะหมดทั้งจำนวนภายในเดือน มี.ค.นี้
"โครงการลงทุนตำบลละ 5 ล้านบาทนี้ เป็นการลงทุนที่ช่วยกระจายรายได้ให้ท้องถิ่นได้เป็นอย่างดี เพราะเราสามารถกระจายเงินได้อย่างทั่วถึง โดยเฉพาะผู้รับเหมาในต่างจังหวัดที่เข้ารับงานได้ ส่วนโครงการตำบลละ 5 แสน วงเงิน 3.5 หมื่นล้านบาทนั้น เพิ่งมีการเปิดตัวเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ยังไม่มีการรายงานถึงผลการดำเนินงาน"
ด้าน นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า นโยบายการเพิ่มภาษีสรรพสามิต มุ่งเป้าไปที่การเก็บภาษีสรรพสามิต เพื่อช่วยดูแลคุณภาพชีวิตและสุขภาพของประชาชน, สิ่งแวดล้อม และสินค้า ที่เป็นผลต่อการขัดขวางการสร้างนวัตกรรม
เขากล่าวว่า การปรับปรุงภาษีสรรพสามิต ตามแนวทางดังกล่าว จะทำให้รายได้ของรัฐบาลจากภาษีสรรพสามิต เพิ่มขึ้นเป็น 8 แสนล้านบาท จากปัจจุบันที่อยู่ที่ 4.9 แสนล้านบาท ภายในอย่างเร็ว 5 ปี หรืออย่างช้า 10 ปีข้างหน้า
อย่างไรก็ตาม การปรับเพิ่มสินค้าที่เข้าข่ายเสียภาษีสรรพสามิต ซึ่งปัจจุบันมีเพียง 21 สินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตนั้น จะให้มีผลกระทบต่อคนรายได้น้อย ให้น้อยที่สุด
เขาอธิบาย ในเรื่องสินค้าที่มีผลขัดขวางการสร้างนวัตกรรม ว่า หากประชาชนบริโภคสินค้าชนิดใดมากเกินไป และรัฐเห็นว่าควรลดการบริโภค เพราะบริโภคแล้วอาจทำให้คนโง่ขึ้น ไม่ช่วยให้เกิดนวัตกรรม เช่นนี้ รัฐบาลก็อาจเข้ามาจัดเก็บสินค้าตัวนั้นก็ได้
นอกจากนี้ เขายังกล่าวถึงการปรับปรุงระบบการจัดเก็บภาษีของกรมสรรพากร ว่า การนำระบบ e-payment ซึ่งจะมีขั้นตอนในเรื่องการใช้ระบบ e-tax นั้น จะเป็นการปิดช่องโหว่ของการหลบเลี่ยงภาษี ไมว่าจะเป็น ภาษีมูลค่าเพิ่ม นิติบุคคล และบุคคลธรรมดา ทำให้รายได้รัฐสูงขึ้น อย่างมีนัยสำคัญ และเมื่อผนวกกับการนำระบบบัญชีเดียว และการเชื่อมโยงข้อมูลทางภาษีของสามกรมภาษี แล้ว จะถือเป็นการปฏิวัติระบบการจัดเก็บภาษีของประเทศ โดยที่อาจไม่ต้องขึ้นอัตราภาษี แต่รายได้จากภาษีของรัฐจะได้เพิ่มขึ้น
ขอบคุณข่าวจาก

