กฤษฎีกา เบรกตร.นับเวลาทวีคูณปฏิบัติหน้าที่ช่วงสถานการณ์ฉุกเฉินย้อนหลัง 7 ปี
กฤษฎีกา เบรก สตช.ขอนับเวลาทวีคูณ ตร.ปฏิบัติหน้าที่ช่วงประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ย้อนหลัง นับจากปี 57 ไปจนถึงปี 51 ชี้ไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ได้รับสิทธิ

ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้เผยแพร่ความเห็นเรื่อง การนับเวลาราชการที่ปฏิบัติงานในระหว่างเวลาที่มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเป็นทวีคูณของเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยเห็นว่า การที่ในช่วงปี 2551 , 2552, 2553 และ 2557 ซึ่งมีเหตุชุมนุมทางการเมือง รัฐบาลได้มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินและประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงจำนวนหลายครั้ง นายกรัฐมนตรีหรือผู้ได้รับมอบหมายได้สั่งใช้กำลังพลจากหลายภาคส่วนทั้งข้าราชการตำรวจ ข้าราชการทหาร และข้าราชการพลเรือน ร่วมกันป้องกัน แก้ไข ปราบปราม ระงับ ยับยั้ง และควบคุมสถานการณ์ เพื่อให้สถานการณ์ยุติหรือคลี่คลายลงโดยเร็ว โดยอาศัยอำนาจตามพระราชกำหนดการบริหารราชการ
ในส่วนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะได้รับสิทธินับเวลาราชการที่ปฏิบัติตามคำสั่งเป็นทวีคูณ เนื่องจากปรากฏข้อเท็จจริงว่าบรรดาคำสั่งและประกาศที่ให้มีการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ หัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน ผู้ปฏิบัติงานในหน่วยงานพิเศษที่จัดตั้งขึ้น รวมถึงที่ปรึกษาในการปฏิบัติงานของพนักงานเจ้าหน้าที่ ในระหว่างเวลาที่มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินดังกล่าว
นายกรัฐมนตรีหรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ออกคำสั่งโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 7 วรรคสามและวรรคสี่ และมาตรา 8 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 แล้วแต่กรณี และการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการตำรวจดังกล่าวก็เป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามประกาศซึ่งนายกรัฐมนตรีได้อาศัยอำนาจตามมาตรา 11 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ในการกำหนดอำนาจหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติการต่าง ๆ ในระหว่างเวลาที่มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน
ดังนั้น ข้าราชการตำรวจดังกล่าวจึงมิใช่บุคคลที่กระทรวงกลาโหมแต่งตั้งให้กระทำหน้าที่ และการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการตำรวจผู้นั้นก็มิได้เป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามที่กระทรวงกลาโหมกำหนดซึ่งสอดคล้องกับความเห็นของกระทรวงกลาโหมด้วย
(อ่านความเห็นทางกม.ฉบับเต็ม ที่นี่ http://app-thca.krisdika.go.th/Naturesig/CheckSig?whichLaw=cmd&year=2559&lawPath=c2_0263_2559)
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การนับเวลาทวีคูณ คือ เวลาที่กฎหมายยอมให้นับเพิ่มอีก 1 เท่าของเวลาที่ปฏิบัติหน้าที่หรือรับราชการปกติ ซึ่งจะมีผลต่อการคำนวณบำเหน็จบำนาญในอนาคต โดยแบ่งออกเป็น 2 ประเภท 1. เวลาทวีคูณที่ทำหน้าที่ตามที่กระทรวงกลาโหมกำหนดในระหว่างเวลาที่มีการรบ การสงคราม การปรามปราบจลาจล 2. เวลาทวีคูณระหว่างประจำปฏิบัติหน้าที่ในเขตที่ได้ประกาศใช้กฎอัยการศึก หรือประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน
ทั้งนี้ ในช่วงเดือนมิ.ย.2558 หลังการรัฐประหาร คณะรัฐมนตรี (ครม.) เคยมีมติอนุมัติให้ข้าราชการตำรวจที่ปฏิบัติงานในเขตพื้นที่ที่มีการประกาศใช้กฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักรในห้วงวันที่ 20 พ.ค. 2557-1 เม.ย. 2558 มีสิทธิได้รับการนับเวลาราชการเป็นทวีคูณ เพื่อประโยชน์ในการคำนวณบำเหน็จบำนาญต่อไปมาแล้ว
แต่ในส่วนการขอนับเวลาราชการเป็นทวีคูณในห้วงวันที่ 19 ก.ย. 2549-26 ม.ค. 2550 นั้น เนื่องจากระยะเวลาได้ล่วงเลยมานานแล้ว หากให้สิทธิการนับเวลาราชการเป็นทวีคูณในช่วงระยะเวลาดังกล่าว อาจจะทำให้เกิดผลกระทบต่อการนับเวลาการปฏิบัติราชการ การดำรงตำแหน่งที่สูงขึ้น หรือการคำนวณบำเหน็จบำนาญข้าราชการ ดังนั้นให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) รับไปพิจารณาทบทวนผลกระทบดังกล่าวที่อาจจะเกิดขึ้นก่อน แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
จากนั้นเรื่องก็เงียบหาย ก่อนที่ สตช.จะทำหนังสือไปหารือข้อกฎหมายกับกฤษฎีกาเรื่องการนับเวลาราชการที่ปฏิบัติงานในระหว่างเวลาที่มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเป็นทวีคูณของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และมีความเห็นว่าไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะทำได้ดังกล่าว
(อ่านประกอบ ครม.เบรก! สตช.ขอนับเวลาทวีคูณกฎอัยการศึกปี'49-50 ชี้ผ่านมานานแล้ว , ชัด ๆ เหตุผล สตช.ทำไมต้องขอนับเวลาราชการทวีคูณช่วงกฎอัยการศึก?)
