'บิ๊กตู่' แฉพวกปั่นหัวสร้างเหตุรุนแรง
"ประยุทธ์" สั่งพลเรือน-ทหาร-ตำรวจ เร่งร่วมมือกันแก้ปัญหาชายแดนภาคใต้ กำชับเลิกทะเลาะกัน อย่าหูเบาให้ใครปั่นหัว ใช้ประโยชน์แก้แค้นกันไปมา แจงคำสั่ง ม.44 ปรับงาน กอ.รมน.และศอ.บต. หวังการเมืองเดินไปพร้อมกับความมั่นคง "ศรีวราห์" ส่งชุดสืบสวนบุกจับ 4 ผู้ต้องหาดักปล้นรถสามี-ภรรยายะลา มั่นใจหลักฐานมัดแน่น
เมื่อวันที่ 8 เม.ย. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวในรายการคืนความสุขให้คนในชาติ ตอนหนึ่งถึงสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า อยากจะเดินทางลงไปเยี่ยมพี่น้องประชาชนในพื้นที่ภาคใต้ แต่ปัญหาต่างๆ ยังเยอะอยู่ ก็พยายามจะหาเวลา โอกาสไป ไม่เป็นไรตนส่งใจถึงท่านทุกวัน รวมทั้งกำชับเจ้าหน้าที่ทุกอย่าง และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ให้ความสำคัญเรื่องนี้อยู่แล้ว
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เรื่องสำคัญเราจะต้องเร่งดำเนินการในเรื่องการร่วมมือกันในการแก้ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งพลเรือน ตำรวจ ทหาร ประชาชน ทุกมิติ จะทำอย่างไรให้ปลอดภัย ถ้าทุกคนยังขัดแย้งกันอยู่ เห็นไม่ตรงกันก็ไปไม่ได้ ต้องหาสิ่งที่ตรงกันแล้วทำไปก่อน อันไหนที่ยังไม่ตรงกันก็หยุดไว้แล้วค่อยทำอีกที
"เรื่องการทำงาน เจ้าหน้าที่ ข้าราชการต่างๆ ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นพลเรือน ตำรวจ ทหาร ต้องทำงานด้วยความชัดเจน ระมัดระวัง และมีความยับยั้งชั่งใจ ผมก็เห็นใจนะเจ้าหน้าที่ ข้าราชการก็เสี่ยงภัยอันตราย เพราะฉะนั้นต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ประชาชนก็ต้องเข้าใจ เขาก็มีสิทธิในการป้องกันชีวิตตัวเขาเองเหมือนกัน ไม่ใช่ให้ผู้ก่อเหตุรุนแรงใช้อาวุธต่อเขาได้แต่เพียงฝ่ายเดียว" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
นายกฯ กล่าวว่า ในส่วนของความเท่าเทียมแล้วก็เป็นธรรม การเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม ก็พยายามที่จะกำชับเจ้าหน้าที่ทุกส่วนว่าทำอย่างไรที่จะให้ทุกคนเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมของเราให้ได้ ไม่ใช่เฉพาะภาคใต้ประเทศเลย เพราะฉะนั้นทุกคนต้องช่วยกัน ต้องลดอัตตาตัวเองกันลงทั้งหมด
"อีกประการหนึ่งคือ อย่าให้ใครมาใช้ประโยชน์จากกำลังของพลเรือน ตำรวจ ทหาร ติดอาวุธ แล้วอีกพวกก็ไปใช้ผู้ก่อเหตุรุนแรงมาต่อสู้กัน แจ้งข่าวผิด ข่าวถูกมา ทำให้เกิดการใช้กำลังต่อกัน หรือไปให้ร้ายศัตรูคู่อาฆาตของตัวเอง ระหว่างตระกูลก็มีนะ ไอ้นี่บอกทหาร ไอ้นี่ไปบอก ผบ.ตร. ก็แก้แค้นกันไปกันมาอยู่แบบนี้ ทหารก็ไม่รู้เรื่อง ขอให้ท่านช่วยด้วยนะครับ อย่าเลย เลิกทะเลาะกันซะทีเถิดนะ อย่าให้ใครมาใช้ประโยชน์ได้โดยเด็ดขาด" นายกฯ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวถึงการใช้ ม.44 ปรับการดำเนินการในส่วนของ กอ.รมน.และ ศอ.บต.ว่า ต้องการให้ทั้งสองอย่างนี้ ทั้งการเมืองกับความมั่นคงเดินไปพร้อมๆ กัน ไม่ใช่แยกกันเดิน หรือให้การเมืองนำ หรือว่าให้ทหารนำ เพราะว่าต้องไปด้วยกัน ทหารมีแต่อาวุธอย่างเดียว ถ้างบพัฒนาไม่เข้าไป ทหารก็ถูกชิงชังรังเกียจอยู่นั่นแหละ ดังนั้นต้องไปด้วยกัน ทหารชี้เป้าไป พัฒนาก็เดินลงไป ก็เข้าไปดูแลความปลอดภัยให้ซึ่งกันและกัน ประชาชนก็เห็นทำงานด้วยกันทั้งพลเรือน ตำรวจ ทหาร ทั้งในเรื่องบังคับใช้กฎหมาย ทั้งการพัฒนาไปด้วย จะได้เข้าใจกันซะที ไม่งั้นแยกกันเดินมาตลอด
นายกฯ กล่าวว่า ในเรื่องกระบวนการพูดคุยสันติสุข เห็นทุกคนคาดหวัง ตนเองก็คาดหวัง ประเด็นมีอยู่ว่าฝ่ายเราพร้อมจะพูดคุยในเรื่องสันติสุข เรื่องสันติภาพ เพราะเราไม่ได้รบกัน เป็นเรื่องของการกระทำผิดกฎหมาย การทำอาชญากรรมร้ายแรง การใช้อาวุธสงคราม เหล่านี้ก็มองเป็นผู้ประกอบอาชญากรรม ก็มีวิถีทางในการที่จะเข้ามาต่อสู้ด้วยกระบวนการยุติธรรมตั้งเยอะ มาตรา 21 ก็มี กระบวนการนำคนกลับบ้านก็มี
"ผมได้สั่งให้มีคณะทำงานทางกฎหมายให้ความเป็นธรรมของทุกคดีที่มีอยู่ ให้ความเป็นธรรม สอบสวนให้เขา แล้วคดีใดๆ ที่ถูกลงโทษไปแล้วก็ดูซิว่าจะลดโทษ อะไรได้บ้างหรือไม่ ถ้าเขาเป็นนักโทษที่ดี ยอมรับความผิด แล้วอะไรเหล่านี้เป็นโอกาสทั้งสิ้น ถ้าไม่ทำวันนี้ก็จะขัดแย้งกันอยู่ร่ำไป แล้วเราก็พัฒนาไม่ได้ แล้วก็ยากจนอยู่ จะโทษใครได้ ทุกคนต้องช่วยกัน ประชารัฐอย่างเดียวเท่านั้นแหละที่จะทำได้" นายกฯกล่าว
วันเดียวกัน ที่ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาตใต้ จ.ยะลา พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. แถลงผลการตรวจค้นพื้นที่ต้องสงสัยกรณีคนร้ายปล้นรถกระบะทะเบียน บต 1845 จ.ยะลา ของนายสุนัน ทองเนตร และนางเรณู จิตบาล สามี-ภรรยาชาว จ.ยะลา ก่อนบังคับให้ขับรถนำระเบิดแสวงเครื่องน้ำหนักรวม 160 กก.ไปจอดที่หน้าทางเข้าบริษัท โตโยต้า พิธานพาณิชย์ สาขายะลา แต่เจ้าหน้าที่เก็บกู้ระเบิดได้อย่างปลอดภัย
พล.ต.อ.ศรีวราห์กล่าวว่า การเข้าตรวจค้นครั้งนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมผู้ต้องสงสัยที่เกี่ยวข้องกับคดีได้ 4 ราย โดยจุดแรกตรวจค้นบ้านเลขที่ 45/4 ม.9 ต.กรงปินัง อ.กรงปินัง จ.ยะลา ควบคุมตัวนายสานาฟี เจ๊ะเต๊ะ อายุ 28 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดยะลา, จุดที่สอง บ้านเลขที่ 180 ม.4 ต.ตาเนาะปูเต๊ะ อ.บันนังสตา จ.ยะลา พบผู้ต้องสงสัยเกี่ยวข้องกับเหตุปล้นรถและเตรียมก่อเหตุคาร์บอมบ์ 2 คน คือ นายมะรอพี เจ๊ะดีแม อายุ 42 ปี และนายอับดุลคาแม กูโน อายุ 35 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดยะลา และจุดที่สาม บ้านเลขที่ 60 ซ.มุสลิมบำรุง ต.สะเตง อ.เมืองฯ จ.ยะลา ควบคุมตัวนายรีดูวัน ตาเฮ อายุ 31 ปี ไปสอบสวน
"ภาพจากกล้องวงจรปิดในวันเกิดเผยให้เห็นภาพของนายรีดูวันขี่รถจักรยานยนต์ตามหลังรถกระบะ ซึ่งสอดคล้องกับคำให้การของผู้เสียหาย พร้อมทั้งพบว่าดีเอ็นเอของผู้ต้องสงสัย 1 ใน 4 คนนี้ ตรงกับดีเอ็นเอที่เจ้าหน้าที่ตรวจพบภายในรถยนต์กระบะคันที่ใช้ก่อเหตุ จึงเชื่อได้ว่าผู้ต้องสงสัยทั้ง 4 คนนี้น่าจะมีส่วนร่วมในการก่อเหตุครั้งนี้" รอง ผบ.ตร.กล่าว
ขณะที่ พ.อ.รุ่งโรจน์ อนันตโท ผบ.กรมทหารพรานที่ 45 อ.ระแงะ จ.นราธิวาส สั่งการให้ ร.ท.ถาวร คลังทอง ผบ.ร้อย ทพ.4510 นำกำลังทหาร ชุดสุนัขสงคราม 3 ชุด ขึ้นบนเทือกเขาตะเว ซึ่งตั้งอยู่หลังหมู่บ้านบือแจง ม.4 ต.บองอ อ.ระแงะ หลังสืบทราบว่ากองกำลังติดอาวุธอาร์เคเคที่บุกยึดโรงพยาบาลเจาะไอร้องใช้เป็นแหล่งผลิตวัตถุระเบิด เพื่อนำลงมาใช้ก่อเหตุในพื้นที่อำเภอต่างๆ ของ จ.นราธิวาส
เจ้าหน้าที่ใช้เวลาเดินทางกว่า 1 ชั่วโมง พบเป้าหมายที่อยู่ห่างจากค่ายพักชั่วคราวของโจรใต้ที่ทหารเข้าบุกยึดเมื่อวันที่ 5 เม.ย.59 ที่ผ่านมาไปประมาณ 200 เมตร ถูกปรับให้พื้นที่เตียนโล่ง ปกคลุมไปด้วยร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ มีกระเป๋า กระสอบใส่ปุ๋ยและถุงพลาสติกขนาดใหญ่ ภายในพบเสื้อผ้าและผ้าพันคอบอกสัญลักษณ์ของเจ้าหน้าที่ทหารพรานกรมที่ 41กางเกง สวิตช์ไฟฟ้าที่ใช้สำหรับเปิด-ปิดในการตัดวงจร แผงวงจรไฟฟ้าที่ใช้ในการต่อวงจรกับวัตถุระเบิด ถ่านไฟแบบสี่เหลี่ยมขนาด 9 โวลต์ และอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก แต่ไม่พบคนร้าย จึงรวบรวมของกลางทั้งหมดส่งให้เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน จ.นราธิวาส ไปตรวจสอบลายนิ้วมือแฝงและดีเอ็นเอ เพื่อนำไปเปรียบเทียบกับหลักฐานต่างๆ ที่เก็บรวบรวมไว้ได้ในที่เกิดเหตุ.
ขอบคุณข่าวจาก

