เจรจาหยุดยิงพม่า-กองทัพรัฐฉานใต้ บทเริ่มต้นแสงสว่างแห่งสันติภาพในพม่า?
เมื่อเร็วๆนี้ มีข่าวใหญ่ระดับภูมิภาคอาเซี่ยนที่น่าสนใจ คือข่าว พล.ท.เจ้ายอดศึก ผู้นำกองทัพรัฐฉานใต้ (Shan State Army –South) ประกาศแถลงการณ์เจรจาหยุดยิงกับรัฐบาลพม่า ที่ฐานที่มั่นดอยไตแลง รัฐฉาน ติดกับพื้นที่อำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นปรากฎการณ์ใหม่ในท่าทีของผู้นำกองทัพไทยใหญ่ ซึ่งดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นประธานสภากอบกู้รัฐฉานอยู่ด้วย เนื่องจากในการให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม ที่ผ่านมา พล.ท.เจ้ายอดศึก ยืนยันว่าจะไม่มีการเจรจาใดๆกับรัฐบาลพม่า หากไม่มีเงื่อนไขเป็นที่พอใจ และแน่ใจว่ารัฐบาลพม่า ภายใต้การนำของรัฐบาลพลเรือนของประธานาธิบดี เต็ง เส่ง มีความจริงใจในการแก้ปัญหาในประเทศ โดยให้กลุ่มชาติพันธุ์ทุกกล่ม มีสิทธิเสรีภาพ มีบทบาททางการเมืองอย่างแท้จริง
ตามแถลงการณ์ เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม ที่ผ่านมา ระบุว่า การเจรจาระหว่างสภากอบกู้รัฐฉานกับรัฐบาลพม่าที่เมืองตองจี เมืองหลวงของรัฐฉาน เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม ทั้งสองฝ่ายต่างเห็นชอบข้อเสนอของแต่ละฝ่ายซึ่งมีทั้งหมด 8 ข้อ เป็นข้อเสนอจากฝ่ายรัฐบาลพม่า 4 ข้อคือ
1.ให้ทั้งสองฝ่ายยุติสู้รบกัน
2. แต่งตั้งคณะกรรมการประสานงานและเปิดสำนักงานเจรจาระหว่างกัน
3. หากไม่พกพาอาวุธให้อนุญาตเข้าพื้นที่เคลื่อนไหวซึ่งกันและกัน
4. กำหนดวันเวลาและสถานที่ในการพบเจรจากันครั้งต่อไป
ส่วนข้อเสนอจากฝ่ายสภากอบกู้รัฐฉาน / กองทัพรัฐฉานใต้ 4 ข้อ ได้แก่
1. ขอทั้งสองฝ่ายยุติสู้รบกัน
2. ให้แก้ไขปัญหาทางการเมืองร่วมกัน
3. ขอเขตพื้นที่พิเศษเพื่อการพัฒนา
4. ขอปราบปรามยาเสพติดร่วมกัน
การเจรจาครั้งนี้ ฝ่ายตัวแทนรัฐบาลพม่านำโดย อู อ่อง มิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการขนส่งทางรถไฟ ส่วนฝ่ายคณะเจรจาสภากอบกู้รัฐฉาน นำโดย พลจัตวา จายลู และพ.อ.จายละ โดยก่อนหน้านี้ มีการเจรจากันมาแล้วในเบื้องต้นครั้งหนึ่งที่ชายแดนรัฐฉานติดกับเขตประเทศไทยด้านจังหวัดเชียงราย โดย พล.ท.เจ้ายอดศึก นำคณะไปเจรจากับอู อ่องมิน ด้วยตนเอง การเจรจาครั้งหลัง เป็นการหยิบยกประเด็นข้อเสนอของทั้งสองฝ่ายในการเจรจาครั้งแรกมาหารือมาพิจารณา และได้ข้อสรุปเห็นชอบและลงนามอย่างเป็นทางการร่วมกัน
“ เจ้ายอดศึก ”กับท่าทีที่เปลี่ยนไป
เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ผู้เขียน ได้เดินทางไปร่วมงานวันปฏิวัติประชาชนกอบกู้รัฐฉานปีที่ 53 ซึ่งเป็นวันครบรอบการก่อตั้งสภากอบกู้รัฐฉาน ปีที่ 11 ที่ดอยไตแลง และได้สัมภาษณ์พล.ท. เจ้ายอดศึก ประเด็นจุดยืนของกองทัพรัฐฉานใต้และสภากอบกู้รัฐฉาน หลังจากมีการเลือกตั้งทั่วไปและได้รัฐบาลพลเรือนในประเทศพม่าแล้ว จะมีท่าทีอย่างไร
"สภากอบกู้รัฐฉานมีจุดยืนชัดเจนว่า รัฐฉานต้องได้รับเอกราช หรือหากจะมีการรวมตัวกันเป็นสหภาพ แต่ละรัฐของกลุ่มชาติพันธุ์ต้องมีรัฐบาลของตนเอง โดยมีรัฐบาลกลางที่มาจากการเลือกตั้งอย่างเป็นธรรมจึงจะยอมรับได้" พล.ท. เจ้ายอดศึก ให้สัมภาษณ์
พล.ท. เจ้ายอดศึก กล่าวด้วยว่า ก่อนจะมีการเลือกตั้งและหลังการเลือกตั้งในพม่าแล้ว ยังไม่เห็นว่าพม่าเป็นประชาธิปไตยแล้วอย่างแท้จริง มีการใช้กำลังปราบปรามกลุ่มชาติพันธุ์ และกองทัพรัฐฉานใต้ ( SSA-SOUTH) จะรวมกับกองกำลังไทยใหญ่ "ภาคเหนือ" (SSA-N) ซึ่งทำข้อตกลงหยุดยิงกับทหารพม่ามานานถึง 20 ปี แต่กลับถูกโจมตีเมื่อเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา เพราะSSAN ไม่ยอมวางอาวุธและเป็นหน่วยพิทักษ์ชายแดนในโครงสร้างกองทัพพม่า ซึ่งถือเป็นการสลายกองกำลังไทยใหญ่ไปอยู่ในหน่วยงานซึ่งมีทหารรัฐบาลพม่าควบคุม กำกับดูแล
"กองทัพรัฐฉาน กับSSAN จะรวมตัวกันเป็นกองทัพเดียวในปีนี้ ภายใต้ชื่อองค์กรการเมือง สภากอบกู้รัฐฉาน เพื่อต่อสู้กับรัฐบาลพม่า เราเห็นว่าการเลือกตั้งและจัดตั้งรัฐบาลที่ผ่านมา ไม่ได้ส่งผลใดๆต่อการต่อสู้ของเรา การเลือกตั้งที่ผ่านมาไม่มีความเป็นธรรม เป็นการหลอกลวงว่าเป็นการเลือกตั้งเพื่อความปรองดอง สามัคคี" พล.ท. เจ้ายอดศึก กล่าว
ในพิธีสวนสนามวันปฏิวัติประชาชนกอบกู้รัฐฉานปีที่ 53 พล.ท. เจ้ายอดศึก เป็นประธานในพิธี มีผู้แทนกองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์ ประกอบด้วยองค์กรปลดปล่อยแห่งชาติปะโอ (PNLO) กองทัพว้า (WNO) พรรคก้าวหน้าแห่งชาติคาเรนนี ( NNPP) สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNU) แนวร่วมปลดปล่อยแห่งชาติปะหล่อง (PSLE) และกองทัพรัฐฉานเหนือ( SSAN) หลังจากพล.ท. เจ้ายอดศึก กล่าวสุนทรพจน์ ผู้แทนพันธมิตรกลุ่มชาติพันธุ์ ประกาศจุดยืนร่วมต่อสู้กับรัฐบาลทหารพม่า โดย “เจ้ายอดเมือง” ผู้ประสานงานด้านต่างประเทศ สรุปข้อความสำคัญของผู้แทนกองทัพรัฐฉานเหนือ สรุปได้คือ
" พันโทเจ้าจาย ตู รอง ผบ.กองกำลังกองทัพรัฐฉานเหนือ พูดว่าจะไม่มีการเจรจากับรัฐบาลพม่าอีกต่อไป เพราะได้เข้าร่วมกับกองทัพเจ้ายอดศึกและสภากอบกู้รัฐฉานแล้ว "
"กองทัพรัฐฉานเหนือ ต้องการให้มีการแก้ปัญหาทางการเมืองด้วยการเมือง แต่หลังการเลือกตั้งการดำเนินการทางการเมืองแก้ปัญหาไม่ได้ กองทัพรัฐฉานเหนือจึงเข้าร่วมกับเจ้ายอดศึก
หลังจากวันปฏิวัติประชาชนกอบกู้รัฐฉานปีที่ 53 ผ่านไปราว 2 เดือนเศษ มีข่าวทหารพม่าเปิดฉากสู้รบใหญ่กับกองทัพรัฐฉาน ที่บ้านไฮ อำเภอเกชี กองบัญชาการใหญ่ SSAN ทำให้มีชาวบ้านในรัฐฉานเดือนร้อนอย่างหนัก ต้องอพยพหนีออกจากพื้นที่กว่า 3 หมื่นคน โดยเครือข่ายปฏิบัติงานผู้หญิงไทยใหญ่ ออกแถลงการณ์ว่า การสู้รบใหญ่ระหว่างทหารพม่ากับกองกำลัง SSAN ที่เพิ่งเข้าร่วมกับSSA –SOUTH ของพลโท เจ้ายอดศึก ระหว่างเดือนกรกฎาคม ทหารพม่าได้เคลื่อนพลทหารกว่า 4,000 นายจาก 42 กองพัน รวมทั้งใช้เครื่องบินรบเข้าโจมตี เพื่อที่จะยึดกองบัญชาการรัฐฉานภาคเหนือ ที่อยู่ บ้านไฮ อำเภอเกซี โดยเพิ่มกองกำลังทหารล้อมรอบหลายๆหมู่บ้าน กองทัพทหารพม่าได้กระทำทารุณกรรมอย่างกว้างขวางต่อประชาชน รวมทั้งฆ่า ข่มขืนและทำร้ายทุกรูปแบบ ในเดือนที่ผ่านมานี้
"ชาวบ้านประมาณ 31,700 คน จาก 9 อำเภอ ได้หนีจากการประหัตประหารตั้งแต่มีการโจมตีจากกองทัพทหารพม่าใน วันที่ 13 มีนาคม ที่ผ่านมา รัฐบาลทหารพม่าได้ละเมิดข้อตกลงการหยุดยิงที่ได้ทำไว้กว่า 22 ปีกับ กองทัพรัฐฉาน (เหนือ) ชาวบ้านบางส่วนได้หลบหนีไปในตัวเมืองอำเภอที่ใกล้เคียง บางส่วนหลบหนีไปยังเขตพื้นที่ควบคุมของกองทัพสหรัฐว้า หรือตามแนวชายแดนประเทศจีน บ้างหลบหนีไปยังชายแดนประเทศไทย แต่ส่วนมากได้หลบซ่อนอยู่ตามป่าเขาใกล้หมู่บ้านของตัวเอง
พลเรือนที่หลบซ่อนอยู่ตามป่าเขาได้ประสบกับการขาดแคลนอาหาร น้ำดื่ม ยาและไม่มีทีพักอาศัยที่ปลอดภัย ฝนที่ตกอย่างหนักทำให้สถานการณ์เลวร้ายมากยิ่งขึ้น ในเดือนที่ผ่านมา เฉพาะในบริเวณบ้านไฮ ชาวบ้านที่ไร้ที่อยู่อาศัยจำนวน 24 คน เสียชีวิตจากอาการท้องร่วงและไข้มาลาเรีย โดยส่วนใหญ่เด็กและคนชรา การช่วยเหลือจากองค์กรระหว่างประเทศไปไม่ถึงชุมชนเหล่านี้ และหน่วยงานบรรเทาทุกข์ที่ให้ความช่วยเหลือนานาชาติที่ทำงานอย่างเป็นทางการ ในประเทศพม่า ถูกปฎิเสธจากทหารพม่าไม่ให้เข้าไปยังพื้นที่มีการสู้รบ องค์กรชุมชนไทใหญ่เรียกร้องให้ประชาคมนานาชาติและหน่วยงานบรรเทาทุกข์ความ ช่วยเหลือนานาชาติ ให้การสนับสนุนทีมงานที่ทำงานสงเคราะห์เพื่อบรรเทา ทุกข์ผู้อพยพเหล่านี้” แถลงการณ์ระบุ
ภายหลังจากเหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นเพียงไม่กี่เดือน ก็มีการเจรจาหยุดยิงระหว่างกองทัพกอบกู้รัฐฉานใต้ ภายใต้การนำของ พล.ท. เจ้ายอดศึก กับผู้แทนรัฐบาลพม่า เหตุผลที่แท้จริงว่าทำไม พล.ท. เจ้ายอดศึก จึงเปลี่ยนท่าทีจากการต่อสู้ด้วยกำลังทหารไปเป็นท่าทีที่ปรองดองขึ้นอย่างชัดเจน
เหตุผลในการเจรจาหยุดยิง
ในแถลงการณ์ข้อตกลงการหยุดยิงระหว่างกองทัพรัฐฉานใต้กับรัฐบาลพม่า ระบุเหตุผลว่า เพื่อเป็นการสร้างความสงบ “ ซึ่งต้องดูท่าทีของประธานาธิบดีเต็งเส่ง ที่มีต่อประเทศชาติและกลุ่มชาติพันธุ์ทุกกลุ่ม” และระบุในแถลงการณ์ด้วยว่า หากข้อเสนอและการกระทำของรัฐบาลพม่าไม่สอดคล้องกับข้อตกลงหยุดยิง มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อกลุ่มชาติพันธุ์ สภากอบกู้รัฐฉานก็พร้อมที่จะจับอาวุธลุกขึ้นต่อสู้ทันที อย่างไรก็ตาม การเจรจาหยุดยิงครั้งนี้ จะนำไปเสนอต่อรัฐบาลพม่าอีกครั้งหนึ่ง และยังอยู่ในขั้นของการลงรายละเอียด โดยจะมีการเจรจารอบสามต่อไป ทั้งนี้สภากอบกู้รัฐฉานระบุในแถลงการณ์ด้วยว่า หากข้อเสนอและการกระทำของรัฐบาลพม่าไม่สอดคล้องกับข้อตกลงหยุดยิง มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อกลุ่มชาติพันธุ์ และกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ เช่นเดิม สภาเพื่อการกอบกู้รัฐฉานก็พร้อมที่จะจับอาวุธลุกขึ้นต่อสู้ทันที
ข้อตกลงหยุดยิงตามข้อเสนอของทั้งสองฝ่าย ถือเป็นบรรยากาศที่ดีหลังจากกองกำลังกู้ชาติไทยใหญ่ซึ่งปัจจุบันคือกองทัพรัฐฉานภายใต้การนำของพล.ท.เจ้ายอดศึก ได้สู้รบกับรัฐบาลทหารพม่ามานานถึง 60 ปี แล้ว หลังจากอังกฤษให้เอกราชกับพม่า แต่อย่างไรก็ตาม การเจรจาในขั้นลงลึกรายละเอียด จึงจะรู้แน่ชัดว่า “สันติภาพ”จะบังเกิดจริงหรือไม่ โดยตามข่าวสารที่เผยแพร่เป็นภาษาอังกฤษ พล.ท.เจ้ายอดศึก กล่าวถึงการตั้งพรรคการเมือง หมายความว่าถ้าไม่มีการละเมิดข้อตกลงหยุดยิง การต่อสู้ต่อไปก็จะเป็นการต่อสู้ทางการเมือง ด้วยการมีส่วนร่วมทางการเมือง แทนการจับอาวุธเข้าต่อสู้เหมือนแต่ก่อน กล่าวคือปัญหาการปกครองของประเทศพม่า “เป็นปัญหาทางการเมืองก็ต้องแก้ด้วยการเมือง”
เป็นที่น่าสังเกตุว่า ในช่วงเวลาคาบเกี่ยวและต่อเนื่องกับการเจรจาหยุดยิง หลังจากรัฐบาลพม่าปล่อยตัวนางออง ซาน ซูจี ผู้นำเพื่อประชาธิปไตยในพม่า มาจนถึงการเดินทางพบปะกันครั้งแรกของนางฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สหรัฐอเมริกา กับนางออง ซาน ซู จี เมื่อเร็วๆนี้ สำนักข่าวต่างประเทศ ได้รายงานว่า นางซู จี ขอบคุณนางฮิลลารี และประธานาธิบดีบารัก โอบามา ที่สร้างสัมพันธไมตรีกับพม่า เพราะจะทำให้พม่าเชื่อมั่นในกระบวนการประชาธิปไตยมากขึ้น สอดคล้องกับที่พล.ท. เจ้ายอดศึก ได้ให้สัมภาษณ์ในวันปฏิวัติประชาชนกอบกู้รัฐฉานปีที่ 53 ว่า “การแก้ปัญหาในพม่าต้องแก้ด้วยการเมือง ในระบอบประชาธิปไตย ที่ทุกกลุ่มชาติพันธุ์ต้องมีส่วนร่วม เป็นแนวทางเดียวกับออง ซาน ซู จี”
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องเล็กๆที่น่าสนใจในกลุ่มประเทศประชาคมอาเซี่ยนก็คือ เมื่อ 2 ปีก่อน คณะมนตรีซีเกมส์ เห็นชอบให้พม่าเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 27 ในปี 2556 เป็นการจัดการแข่งขันครั้งแรกในแผ่นดินพม่าในรอบ 40 ปี ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าว พม่าปกครองประเทศด้วยระบอบเผด็จการทหาร การได้รับเกียรติครั้งสำคัญครั้งนี้ ถือเป็นการเปิดตัวครั้งสำคัญของประเทศที่ “ปิด”มานานอย่างพม่า หมายถึงการๆได้รับการยอมรับจากนานาประเทศ อย่างน้อยก็ประเทศประชาคมอาเซี่ยน สะท้อนภาพลักษณ์ของประเทศที่เปลี่ยนไป เช่นเดียวกับที่ประเทศจีนซึ่งปกครองด้วยระบอบสังคมนิยมคอมมูนิสต์ ไม่ได้รับการยอมรับจากโลกเสรี เคยใช้การกีฬาเชื่อมสัมพันธ์กับนานาประเทศ และได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ และโอลิมปิกเกมส์ ในเวลาต่อมา
อย่างไรก็ตาม การหยุดยิงระหว่างกองทัพรัฐฉานใต้กับรัฐบาลพม่า ยังต้องเจรจากันอีกกว่าจะบรรลุผลตามความมุ่งหมายของสภากอบกู้รัฐฉาน ขณะที่กองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์อื่นยังไม่มีการเจรจาถึงขั้นหยุดยิง แสงสว่างแห่งสันติภาพจะบังเกิดได้จริงหรือไม่ จึงเป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันต่อไป เพราะนี่เป็นแค่การเริ่มต้น (ในทางที่ดี)แค่นั้นเอง