แอมเนสตี้ไทยวอนรบ.หยุดกฎหมายลงโทษนักปกป้องสิทธิฯ
กลุ่มองค์กร รวมตัวเรียกร้องยุติการใช้กฎหมายคุกคามต่อนักปกป้องสิทธิมนุษยชนในไทย
เว็บไซต์แอมเนสตี้ รายงานวันนี้ (10 พฤษภาคม) องค์การและเครือข่ายชุมชนได้ลงนาม เรียกร้องให้รัฐบาลไทยและบริษัทเหมืองแร่จำนวนหนึ่งยุติการดำเนินคดีทางกฎหมายต่อนักปกป้องสิทธิมนุษยชนในชุมชน รวมถึงร้องขอให้รัฐบาลไทยสร้างกลไกให้ความคุ้มครองปกป้องสิทธิมนุษยชนในชุมชน และประกันความรับผิดชอบต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชน
โดย ได้บันทึกแนวโน้ม ที่น่ากังวลใจเรื่องการยื่นฟ้องคดีความผิดฐานหมิ่นประมาทรวมถึงฐานความผิดอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งทางแพ่งและอาญา ต่อนักปกป้องสิทธิมนุษยชนในชุมชนจากทั่วประเทศไทย ทั้งนี้ นักกิจกรรมในชุมชนที่เข้ามามีส่วนร่วมกับการคัดค้านและแสดงออกซึ่งข้อห่วงใยที่เกี่ยวเนื่องกับปัญหาผลกระทบด้านสุขภาพ, ด้านสังคม และด้านสิ่งแวดล้อม ที่มีแนวโน้มคาบเกี่ยวกับภาคอุตสาหกรรมในท้องถิ่นยิ่งเผชิญความเสี่ยงต่อการถูกตั้งข้อหาด้วย
รายงานชี้ว่า นักปกป้องสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยถูกฟ้องร้องคดีหมิ่นประมาท ตามมาตรา 326, 327, และ 328 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 - 2 ปี หรือระวางโทษปรับ นอกจากนี้ จำเลยมักจะถูกตั้งข้อหาตามมาตรา 14 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 ซึ่งระวางโทษจำคุกสูงสุดเป็นเวลา 5 ปี
สำหรับ ข้อหาหมิ่นประมาทในคดีอาญาที่รัฐบาลและภาคธุรกิจในประเทศไทยนำมาฟ้องร้องนั้น สืบเนื่องมาจาก การเคลื่อนไหวที่ชอบธรรมของนักปกป้องสิทธิมนุษยชน โดยยกตัวอย่าง คดีความที่ยังคงค้างชำระความมาเป็นกรณีศึกษา
ซึ่งเป็นเพียงตัวอย่างของการใช้การฟ้องร้องคดีต่อนักปกป้องสิทธิมนุษยชนที่แสดงออกซึ่งเสรีภาพในการแสดงออก ที่ส่งผลต่อการแทรกแซงการเคลื่อนไหวโดยชอบธรรมของชุมชน การต่อสู้ในข้อหาที่ไม่เป็นธรรมนี้ ทำให้นักปกป้องสิทธิมนุษยชนต้องใช้เวลาและเงินทองเป็นอย่างมาก และยังส่งผลกระทบต่อชุมชนด้วย ในขณะเดียวกันก็มีข้อจำกัดต่าง ๆ เช่น การเข้าถึงความช่วยเหลือ การสนับสนุนทางกฎหมาย เงินเพื่อขอปล่อยตัวชั่วคราว รวมทั้งค่าเดินทางเพื่อที่จะไปฟังการพิจารณาคดีและค่าใช้จ่ายเพื่อต่อสู้คดี
กลุ่มหน่วยงานต่าง ๆ จึงขอเรียกร้องให้ประเทศไทยปฏิบัติตามพันธกรณีกฎหมายระหว่างประเทศ เพื่อประกันว่านักปกป้องสิทธิมนุษยชนจะได้รับความคุ้มครอง ไม่ใช่ถูกลงโทษทัณฑ์ ทั้งนี้ รัฐบาลควรยกเลิกไม่ให้มีความหมิ่นประมาทในทางอาญา เพราะกฎหมายระหว่างประเทศเห็นว่าการลงโทษอาญากับข้อหาที่เกี่ยวกับการหมิ่นประมาทเป็นการลงโทษที่ไม่ได้สัดส่วน พร้อมขอเรียกร้องให้ยกเลิกการตั้งข้อหาที่ไม่เป็นธรรมต่อนักปกป้องสิทธิมนุษยชน และควรจะมีการสอบสวนคดีอย่างมีประสิทธิภาพในคดีที่ใช้ความรุนแรงต่อนักปกป้องสิทธิมนุษยชน และนำตัวผู้กระทำผิดมารับผิด ในขณะเดียวกัน ต้องรับประกันว่านักปกป้องสิทธิมนุษยชนและชุมชนชายขอบจะสามารถเข้าถึงที่เหมาะสมต่อการให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายที่มีประสิทธิภาพและไม่มีค่าใช้จ่าย โดยสอดคล้องกับมาตรฐานการพิจารณาคดีที่เป็นธรรม ยิ่งไปกว่านี้ รัฐบาลควรพัฒนากรอบของกฎหมายเพื่อประกันว่าหลักการของการทำธุรกิจและสิทธิมนุษยชนภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศจะได้รับการคุ้มครอง
จึงขอเรียกร้องให้ภาคธุรกิจให้ความคุ้มครองสิทธิของนักปกป้องสิทธิมนุษยชนตาม หลักปฏิบัติของสหประชาชาติว่าด้วยการดำเนินธุรกิจและสิทธิมนุษยชน (UN Guiding Principles on Business and Human Rights) ที่วางหลักการว่า ภาคธุรกิจมีความรับผิดชอบที่จะเคารพสิทธิมนุษยชนไม่ว่าจะเป็น ณ ที่ใด ที่มีการประกอบธุรกิจ เพื่อให้สอดรับกับหลักการดังกล่าว การทำธุรกิจในประเทศไทยต้องคุ้มครองสิทธิของนักปกป้องสิทธิมนุษยชนที่ได้ใช้สิทธิขั้นพื้นฐาน รวมถึงเสรีภาพในการแสดงออก
ขอบคุณข่าวจาก

