น้ำท่วมนาน พบ 'คนนนท์-ปทุม' เครียดสูง กว่าคนกรุงเทพฯ
สสส. เปิดเว็บไซต์ “สถานีสร้างสุข” หวัง ให้คนประเมินความเครียดตนเองขั้นต้น ด้าน อธิบดีกรมสุขภาพ แนะ เยียวยาสุขภาพกายและใจอย่างเดียวไม่พอ ต้องเยียวยาให้ครบรอบด้าน
วันที่ 22 ธันวาคม 2554 สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และ We Voice เครือข่ายเสียงประชาชน ร่วมเปิดตัวเว็บไซต์ www.สถานีสร้างสุข.com โดย สสส. ร่วมกับกลุ่มครีเอทีฟ รวมการเฉพาะกิจ จัดทำขึ้น เพื่อให้คนไทยได้ลองประเมินตัวเองด้านสุขภาพจิตผ่านเว็บไซต์ ณ ชั้น 4 หอศิลป์กรุงเทพมหานคร
ศ.ดร.ปาริชาติ สถาปิตานนท์ ประธานคณะกรรมการ We Voice เครือข่ายเสียงประชาชน เผยถึงผลสำรวจความคิดเห็นการจัดการความเครียดหลังน้ำท่วม โดยประเมินจากอาการหรือความรู้สึก 5 ประการ ได้แก่ 1.มีปัญหาการนอน เช่นนอนไม่หลับหรือนอนมากบ่อยแค่ไหน 2.มีสมาธิน้อยลงหรือไม่ 3.มีอาการหงุดหงิด/กระวนกระวาย/ว้าวุ่นใจบ่อยแค่ไหน 4.รู้สึกเบื่อหรือเซ็งบ่อยแค่ไหน และ 5.มีความรู้สึกไม่อยากพบปะผู้คนหรือไม่
“จากการสำรวจพบว่าประชาชนที่มีความเครียดในระดับสูงกว่าปกติคิดเป็นร้อยละ 22.3 โดยเฉพาะกลุ่มคนทางฝั่งปทุมธานี และนนทบุรี จะมีความเครียดสูงกว่าคนกรุงเทพฯ เนื่องจากเป็นกลุ่มผู้ที่ถูกน้ำท่วมเข้าบ้านเป็นเวลานาน ซึ่งแม้ว่าจะเกิดความรัก ความผูกพันในครอบครัว ความสามัคคีในชุมชน แต่ก็ยังมีสถานะทางการเงิน การงาน นั้นมีความน่าเป็นห่วงมาก ซึ่งทำให้คนกลุ่มนี้นอนไม่หลับ รองลงมาคือ อาการรู้สึกหงุดหงิด กระวนกระวายใจ และท้อแท้”
นอกจากนี้ ศ.ดร.ปาริชาติ ยังเผยถึงผลสำรวจโดยอีกใช้เกณฑ์จำแนกตามเพศ และอายุอีกว่า เพศหญิง เป็นเพศที่มีความเครียดมากกว่าเพศชาย สาเหตุอาจเป็นเพราะรู้สึกว่ามีภาระความรับผิดชอบมากจึงทำให้เกิดความเครียด และเมื่อจำแนกผลสำรวจตามอายุ จะพบว่าผู้สูงอายุจะมีความเครียดมากกว่าวัยอื่น
“นอกจากนี้ยังพบว่า คนที่มีหนี้สิน มีโรคประจำตัว มีภาระที่ต้องดูแลคนพิการ ผู้ป่วยเรื้อรัง ผู้สูงอายุ จะมีความเครียดมากกว่าคนอื่นๆ ทั้งนี้ 3 อันดับแรกที่ต้องการให้ฟื้นฟู ได้แก่ 1.สถานะการเงิน 2.ความรู้สึกมั่นคงในหน้าที่การงาน และ 3.สุขภาพจิตและความพอใจของสภาพความเป็นอยู่”
ขณะที่ นพ.ประเวศ ตันติพิวัฒนสกุล ที่ปรึกษากรมสุขภาพจิต กล่าวถึงตัวเลขจากผลสำรวจว่า ตัวเลขเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า แม้น้ำจะลดแล้วแต่ปัญหาของสภาพจิตใจยังอยู่และมีความจำเป็นที่ต้องช่วยเหลือ และที่สำคัญจากผลสำรวจครั้งแสดงให้เห็นว่าใครที่ต้องการความช่วยเหลือ นั่นคือ ผู้ที่ถูกน้ำท่วมมากและนาน คนที่มีหนี้สิน คนที่มีรายได้น้อย กลุ่มคนแรงงาน
“ไม่ใช่หน้าที่ของกรมสุขภาพจิตอย่างเดียวที่จะเข้าช่วยเหลือ เพราะมีความเกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือเยียวยาทางการงาน และการเงินด้วย นอกจากนี้ผลสำรวจยังแสดงให้เห็นในด้านบวกว่า ท่ามกลางวิกฤตคนไทยสามารถที่จะมองเห็นสิ่งดีๆรอบตัวให้เกิดขึ้นได้ ซึ่งเหล่านี้เป็นทุนทางสังคมที่สำคัญมากของคนไทย”
จากนั้น นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวในช่วงเสวนา “ปัญหาความเครียดของคนกรุงเทพฯ ภายหลังน้ำลด” ว่า ปัญหาทางด้านจิตใจหลังน้ำลด คงต้องใช้เวลานานในการรักษาเยียวยาบาดแผลจากเหตุการณ์ครั้งนี้ ซึ่งการจะเยียวยาเพียงแค่สุขภาพกายและสุขภาพใจ อย่างเดียวไม่พอ ยังมีในอีกหลายมิติ เช่น ความมั่นคงในสถานะการงาน ฉะนั้น ความช่วยเหลืออื่นๆ และการช่วยเหลือซึ่งกันและกันต้องทำในทุกมิติ ต้องเยียวยาด้านความเป็นอยู่ควบคู่ไปด้วย
“สิ่งที่ทางกรมสุขภาพจิตวางไว้ว่าจะลงมือทำ คือ 1.กระตุ้นพลังครอบครัวและชุมชน ให้เกิดขึ้น โดยไม่มองด้านสุขภาพเท่านั้น ต้องฟื้นฟูมิติอื่นด้วย และ 2.ผู้ป่วย กลุ่มเสี่ยง และผู้สูงอายุ จะมีการคัดกรองรายชื่อเพื่อนำไปเข้าสู่กระบวนการสุขภาพจิตต่อไป”
ด้าน ศ.นพ.อุดมศิลป์ ศรีแสงนาม ประธานคณะกรรมการการกำกับทิศ ศูนย์สื่อสารการตลาดเพื่อสังคม สสส. กล่าวว่า การที่สำรวจพบว่า คนในเหตุการณ์กลับมารักกัน ในวิกฤตมีความรักเกิดขึ้นนั้น เป็นจิตวิทยาของคนหมู่มาก เป็นสุขภาพจิตของคนเป็นแสนเป็นล้านคน เพราะแต่ละคนมีความทุกข์เหมือนกัน ขาดก็ขาดเหมือนกัน มีปัญหาเท่ากัน ทำให้คนรู้สึกวามีเพื่อนร่วมทุกข์ แต่เมื่อเหตุการณ์ผ่านไปก็กลายเป็นต่างคน ต่างอยู่ และทอดทิ้งกัน ทำให้ความเครียดพุ่งสูงขึ้น
“เรื่องน้ำเป็นเรื่องย่อย แต่ปัญหาสำคัญคือคนไทยไม่รักกัน ยิ่งพูดความแตกแยกยิ่งมาก แต่ถ้าชวนกันมาทำความดีร่วมกัน จะทำให้ศีลของทุกคนเท่ากัน และทำให้ความแตกแยกลดลง สิ่งสำคัญที่ต้องมีคือสติและปัญญา ไม่ว่าน้ำจะมาหรือไม่มา แต่ถ้าเรามีสติ ไม่ลนลาน เตรียมปัญญาไว้รับมือ ซึ่งในปีนี้ถ้าเรามีปัญญาเตรียมการก็จะผ่านวิกฤตไปได้”
ทั้งนี้ ศ.นพ.อุดมศิลป์ กล่าวถึง เว็บไซต์ สถานีสร้างสุขด้วยด้วยว่า สสส.ได้รับความอนุเคราะห์จากกลุ่มครีเอทีฟรวมการเฉพาะกิจ ที่ร่วมกันบริจาคทักษะความสามารถของตนในการออกแบบ และสร้างสรรค์ผลงานออก เพื่อให้คนไทยได้ประเมินความเครียดของตนเองก่อนในขั้นต้น
