เริ่มแล้ว 5 พื้นที่ ภาคปชช.เดินหน้าทำ 'แก้มลิงขนาดใหญ่'
ไม่รอรัฐบาล ชุมชนสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนฯ จับมือเครือข่าย เซ็นเอ็มโอยู ทำ “แก้มลิงขนาดใหญ่” 20 แห่ง แก้ปัญหาน้ำท่วมแบบบูรณาการ ยึดแนวทางพระราชดำริในหลวง เล็งเฟสแรก 5 พื้นที่เป้าหมาย 'โคราช พิจิตร พิษณุโลก ขอนแก่น เชียงราย'
วันที่ 23 ธันวาคม ชุมชนสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน อาหาร พลังงานและเกษตรกรรม จำกัด, สันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทย,สมาคมท้องถิ่นไทยแห่งประเทศไทย, บริษัทวินเอาท์ จำกัด, บริษัทมิตซุย ซูมิโตโม่จำกัด (ประเทศญี่ปุ่น) และCMEC ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน จัดพิธีลงนามบันทึกความร่วมมือจัดทำ “โครงการแก้มลิงขนาดใหญ่” เพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมแบบบูรณาการ โดยยึดแนวทางพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ สำนักพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยีการสหกรณ์ กรุงเทพฯ โดยมีพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน
พล.อ.ชวลิต กล่าวตอนหนึ่งว่า โลกของเรากำลังเปลี่ยนแปลงอย่างมากในด้านสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะอุทกภัย แผ่นดินไหว ทั้งที่เคยเห็นและไม่ทราบว่าจะเกิดขึ้น ซึ่งในรอบไม่มีกี่เดือนที่ผ่านมา ประเทศไทยก็เผชิญอุทกภัยครั้งใหญ่ที่สร้างความเจ็บปวดให้แก่เราอย่างมาก และที่เจ็บใจยิ่งกว่าอะไร ก็คือ เรารู้ว่า ภัยพิบัติจะเกิดขึ้น ผู้บริหารประเทศทุกยุคทุกสมัยก็รู้ เพราะประเทศไทยเจอกับปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้ง ‘หกเดือนแรกขนคนหนีน้ำ หกเดือนหลังขนน้ำไปให้คน’ มาโดยตลอด ทุกคนรู้แต่ไม่มีการดำเนินการอะไรเพื่อป้องกันสิ่งที่จะเกิดขึ้น
“อุทกภัยครั้งนี้เป็นเรื่องที่จะต้องได้รับการแก้ไข และหวังว่าจะเป็นบทเรียนที่สำคัญที่สุดของคนไทย โดยเฉพาะผู้ปกครอง ทั้งนี้ ในเรื่องการจัดการน้ำนั้น ไม่จำเป็นต้องไปหาครูบาอาจารย์ หรือศาสตราจารย์จากประเทศใด สามารถไปถามจากตามี ตามา หรือประชาชนที่อาศัยอยู่ตามแม่น้ำลำคลองได้ เพราะมีประสบการณ์ รู้ดีว่าจะต้องทำ หรือแก้ไขอะไรเพื่อให้ตนพ้นจากภัยพิบัติ”
ส่วนการที่รัฐบาลตั้งคณะกรรมการขึ้นมาแก้ไขปัญหาอุทกภัยนั้น พล.อ.ชวลิต กล่าวว่า ตนอยากฝากความหวังดีไปที่รัฐบาลว่า การตั้งคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) และคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.)ขึ้นมาบริหารจัดการน้ำนั้น การดำเนินการต้องใช้ระยะเวลา 1-2 ปีถึงจะแล้วเสร็จ ซึ่งไม่ได้ แต่จะต้องทำกันพรุ่งนี้ เพราะเงินก็มี ความรู้ความสามารถ แรงงานก็มี ไม่ต้องไปทำอะไรให้เสียเวลา และควรใช้ประชาชน ให้อำนาจแก่ประชาชนในการดำเนินการ ขณะเดียวกันภาคประชาชนก็ต้องลุกขึ้นมาทำภาระหน้าที่ของตนเอง ด้วยงบประมาณที่ตนมีอยู่
ทั้งนี้ พล.อ.ชวลิต กล่าวด้วยว่า นอกจากการเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อมแล้ว โลกกำลังเกิดการเปลี่ยนทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม รวมถึงจิตใจของผู้คน และบนความเปลี่ยนแปลงที่มหาศาล ประเทศไทยจะตั้งรับ ปฏิบัติการณ์เชิงรุก ป้องกัน แก้ไขอย่างไร ไม่เช่นนั้น เราจะกลายเป็นประเทศที่ล้าหลังไปกว่านี้
“จากที่เคยเป็นประเทศอันดับต้นของอาเซียน เป็นประเทศที่อยู่ในอันดับน่าพึ่งพอใจของโลก ประเทศไทยกำลังถอยหลังอย่างต่อเนื่อง ฉะนั้น รัฐบาลต้องแก้ไขดังกล่าว ไม่ปล่อยให้สิ่งที่เกิดขึ้นส่งต่อไปถึงลูกหลาน”
ภาคปชช.ขอร่วมบริหารจัดการน้ำ
ขณะที่นายวิฑูรย์ แนวพาณิชย์ ประธานกรรมการสันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทย กล่าว ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีปัญหาเรื่องการบริหารจัดการน้ำมาโดยตลอด บางช่วงเกิดปัญหาน้ำขาด ไม่เพียงพอต่อการเกษตร แต่ในบางช่วงกลับเกิดปัญหาน้ำล้น น้ำเกิน เช่นเดียวกับในปีนี้ที่เกิดเหตุการณน้ำท่วมใหญ่ พื้นที่การเกษตร บ้านเรือนประชาชนได้รับความเสียหายอย่างหนัก แต่ภาคประชาชนกลับขาดโอกาสที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการน้ำร่วมกับภาครัฐ ทั้งที่สหกรณ์มีประสบการณ์ในการบริหารน้ำ และมีสหกรณ์ผู้ใช้น้ำรวมเกือบ 500 สหกรณ์ ดังกล่าว วิกฤตครั้งนี้ น่าจะเป็นโอกาสที่จะทำให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการน้ำ จึงจัดทำบันทึกความร่วมมือขึ้น เพื่อแก้ปัญหาน้ำอย่างเป็นระบบในอนาคต
ด้านนายสุวิทย์ แก้วพนัส นายกสมาคมท้องถิ่นไทยแห่งประเทศไทย กล่าวถึงบทบาทของสมาคมท้องถิ่นไทยฯ ในความความร่วมมือครั้งนี้ว่า ท้องถิ่นจะดูแลและอำนายความสะดวกในเรื่องการจัดหาพื้นที่แก้มลิง เพราะท้องถิ่นรู้ดีว่า พื้นที่ใดเหมาะสม ควรสร้าง ปรับปรุง หรือแก้ไขอย่างไร ส่วนการกำหนดพื้นที่แก้มลิงนั้นจะพิจารณาจากเส้นทางน้ำเหนือ ปิง วัง ยม น่าน และดึงน้ำจากแม่น้ำดังกล่าวเข้ามาในพื้นที่แก้มลิง ในลักษณะก้างปลา เพื่อดักน้ำไว้ โดยพื้นที่ส่วนใหญ่ที่ท้องถิ่นจะนำมาใช้จัดทำแก้มลิงคือ หนองน้ำสาธารณะ ซึ่งจะเข้าไปดำเนินการขุดลอกเพิ่มเติม
นายสุวิทย์ กล่าวถึงการแก้ปัญหาเรื่องน้ำของรัฐบาลในขณะนี้ว่า รัฐบาลอาจมุ่งหวังให้หน่วยงานของรัฐ หรือคณะกรรมการที่รัฐจัดตั้งขึ้น ไม่ว่าจะ กยอ. กยน. เข้าไปแก้ไขปัญหา แต่ควรให้เจ้าของพื้นเข้าไปมีส่วนร่วมบ้าง เพราะขณะนี้องค์กรภาคประชาชน องค์กรท้องถิ่น ซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่ไม่ได้มีโอกาสเข้าไปชี้แจ้งปัญหา ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเลย
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับแนวทางในการบริหารจัดการตามโครงการดังกล่าว สหกรณ์ฯจะเป็นผู้ลงทุนด้านงบประมาณ สมาคมท้องถิ่นไทยฯ สนับสนุนด้านข้อมูลและพื้นที่ในการจัดทำโครงการฯ ส่วนบริษัทวินเอาท์ จำกัด, บริษัทมิตซุย ซูมิโตโม่จำกัด (ประเทศญี่ปุ่น) และCMEC ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน จะเป็นผู้ให้ความร่วมมือในการให้คำปรึกษาเรื่องการออกแบบก่อสร้าง นอกจากนี้ยังได้รับความร่วมมือจากกรมทรัพยากรน้ำ ในการสนับสนุนด้านการศึกษาและการจัดทำแผนงาน
“ปัจจุบันสหกรณ์มีสมาชิกรวมกันกว่า 12 ล้านครัวเรือน มีเงินทุนหมุนเวียนรวมกันกว่า 1.7 ล้านล้านบาท จึงมีความพร้อมในการระดมทุนบริหารจัดการโครงการดังกล่าว”
ส่วนแผนการดำเนินงานนั้น ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เบื้องต้นแบ่งเป็น 4 ช่วง ได้แก่ 1.การเตรียมการจัดทำร่างแผนโครงการ 2.การดำเนินโครงการขั้นต้น อาทิ การประสานงานกลุ่มองค์กร หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่โครงการฯ จัดเวทีสาธารณะชุมชนท้องถิ่น เพื่อรับฟังปัญหาความคิดเห็น เพื่อศึกษาและสำรวจสถานที่ที่เหมาะสม คุ้มทุน 3.การปฏิบัติการโครงการ จัดซื้อจัดจ้าง ด้านการก่อสร้าง และ 4.การติดตามประเมินผล โดยทุกขั้นตอนจะดำเนินการแล้วเสร็จภายในต้นปี 2556
ขณะที่พื้นที่การดำเนินการมีทั้งสิ้น 20 พื้นที่ โดยเฟสแรกเป้าหมาย 5 พื้นที่ ดังนี้ หนองบึงสำโรง จังหวัดนครราชสีมา บึงสรรพงาย จังหวัดพิจิตร บึงราชนก จังหวัดพิษณุโลก หนองน้ำ บ้านป่าเหลี่ยม จังหวัดขอนแก่น เวียงหนองล่ม จังหวัดเชียงราย
