แถลงการณ์แพทย์ชนบท จี้รมว.สธ.รับผิดชอบ อนาคตระบบหลักประกันสุขภาพไทย
ชมรมแพทย์ชนบท และภาคีสุขภาพ ออกแถลงการณ์แสดงความห่วงการเคลื่อนไหวแทรกแซงกระบวนการคัดเลือกเลขาธิการ สปสช. ที่ไม่ได้ดำเนินไปตามครรลองที่ถูกต้องเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา

วันที่ 5 มิถุนายน 2559 ชมรมแพทย์ชนบท ออกแถลงการณ์ชมรมแพทย์ชนบท ฉบับที่สอง เรื่อง ความรับผิดชอบของ รมว.สาธารณสุข กับความน่าเชื่อถือของการตีความของคณะกรรมการกฤษฎีกา และอนาคตของระบบหลักประกันสุขภาพไทย
จากแถลงการณ์ชมรมแพทย์ชนบท ฉบับที่หนึ่ง เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน ที่ผ่านมา ชมรมแพทย์ชนบทได้แสดงความเป็นห่วงอนาคตของระบบหลักประกันสุขภาพของไทย และเรียกร้องให้ประชาชนในระบบหลักประกันสุขภาพทุกคน และเครือข่ายสุขภาพทุกเครือข่าย รวมพลังปกป้องระบบหลักประกันสุขภาพ และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขยับยั้งไม่ให้คนใกล้ตัวสมคบกับกลุ่มแพทย์พาณิชย์ แอบอ้างว่าได้รับไฟเขียวจากรัฐมนตรี สั่งการให้ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงสาธารณสุข เข้าทำการแทรกแซงกระบวนการตั้งแต่ขั้นตอนการหาคนสมัครเลขาธิการ สปสช. (สุดท้ายได้คนที่ในแวดวงสาธารณสุขรู้จักดีว่า มีผลงานประสบการณ์การบริหารงานที่ผ่านมาเป็นอย่างไร) แทรกแซงขั้นตอนการสรรหา (ที่ประธานคณะกรรมการสรรหา ซึ่งเป็นตัวแทนของรัฐมนตรี มีธงนำอย่างชัดเจน) และสุดท้ายมีการล๊อบบี้กรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (อย่างเปิดเผย) ให้เลือกผู้สมัครและผ่านการสรรหาที่เชื่อว่า พวกตนสั่งได้ให้เป็นเลขาธิการ สปสช. คนใหม่ แม้จะรู้ว่าการดำเนินการดังกล่าวจะนำไปสู่ความไม่ไว้วางใจและจะเกิดความขัดแย้งในระบบสาธารณสุขครั้งใหม่อย่างรุนแรง รวมทั้งเป็นการจงใจฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย เพราะจากข้อเท็จจริงผู้สมัครดังกล่าวมีคุณสมบัติต้องห้ามตามแนวทางการตีความกฎหมายหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 มาตรา 32(12) ของคณะกรรมการกฤษฎีกา คณะ 10
คณะกรรมการกฤษฎีกา คณะ 10 ซึ่งมี นายสวัสดิ์ โชติพานิช เป็นประธานได้เคยตีความข้อกฏหมายเกี่ยวกับคุณสมบัติต้องห้ามของผู้สมัครเลขาธิการ สปสช. ในปี 2550 และ 2551 สรุปไว้ชัดเจนว่า
1. หาก สปสช. ได้ทำสัญญาหรือข้อตกลงซื้อยากับองค์การเภสัชกรรม ย่อมมีผลให้นายสงวน นิตยารัมภ์พงศ์ เลขาธิการ สปสช. และได้รับแต่งตั้งจากคณะรัฐมนตรี ให้เป็นกรรมการองค์การเภสัชกรรมในขณะนั้น จะเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 32(12) แห่งพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 ทันที
2. เมื่อ สปสช.ได้ทำสัญญากับแพทยสภา มูลนิธิชุมชนท้องถิ่นพัฒนา และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ นายพินิจ หิรัญโชติ ซึ่งเป็นกรรมการแพทยสภา และนายพลเดช ปิ่นประทีป ซึ่งเป็นกรรมการมูลนิธิชุมชนท้องถิ่นพัฒนา ในขณะนั้น จึงเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามในการดำรงตำแหน่งเลขาธิการ สปสช. ตามมาตรา 32(12) ดังกล่าว
และกรณีนายอำนวย กาจีนะ ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งรองอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์และตำแหน่งดังกล่าวเป็นผู้บริหารในนิติบุคคลซึ่งเป็นคู่สัญญากับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ย่อมเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามในการดำรงตำแหน่งเลขาธิการ สปสช.ตามมาตรา 32(12) ดังกล่าวด้วย
และคณะกรรมการกฤษฎีกา คณะ 10 ยังมีข้อเสนอว่า ถ้ามีปัญหาในการปฏิบัติตามการตีความดังกล่าว ก็อาจเสนอให้มีการแก้ไขกฎหมายใหม่ แต่ขณะนี้ยังไม่มีการแก้ไขกฎหมายดังกล่าว
เพื่อให้ได้เลขาธิการ สปสช.คนใหม่ เป็นคนที่พวกตนสั่งได้ตามเแผนการยึดครอง สปสช. เปิดทางไปสู่การแก้ไขหลักการของ พ.ร.บ. หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ให้มีการร่วมจ่ายของประชาชน ทำให้เป็นระบบอนาถาสำหรับผู้ป่วยยากจน และดึง สปสช.เข้าสู่ระบบราชการภายใต้กระทรวงสาธารณสุข เป็นการถอยหลังระบบสุขภาพของไทยให้ล่าหลัง ทำให้ธุรกิจแพทย์พาณิชย์ และบริษัทยาข้ามชาติแสวงหาประโยชน์จากการเจ็บป่วยของประชาชนได้ง่ายขึ้นเหมือนในอดีต
ดังนั้นเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม ที่ผ่านมา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะกรรมการกฤษฎีกา คณะ 10 ได้ปรากฏตัวหารือร่วมกับกรรมการกฎษฎีกา คณะ 10 นอกรอบก่อนการประชุมชี้แจงจะเกิดขึ้น
และในที่ประชุมชี้แจงมีกรรมการกฤษฎีกาท่านหนึ่งได้พูดอย่างชัดเจนว่า รัฐมนตรีได้บอกว่า ถ้าตีความแบบเดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลงก็จะทำให้ผู้สมัครจากกระทรวงสาธารณสุขไม่มีสิทธิสมัคร (ความจริงก่อนหน้านี้ คนใกล้ตัวรัฐมนตรี ได้เคยทาบทามอธิบดีกรมหนึ่ง ซึ่งไม่มีคุณสมบัติต้องห้ามเพราะไม่ได้เป็นคู่สัญญากับ สปสช. แต่ได้รับการปฏิเสธ ว่าจะขอเกษียณราชการในเดือนกันยายนนี้)
และมีข่าวว่าการผลักดันให้มีการตีความข้อกฎหมายดังกล่าวใหม่ สร้างความลำบากใจให้กับประธาน และกรรมการกฤษฎีกาคณะ 10 อย่างมาก จนเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาต้องเสนอเรื่องให้มีการประชุมร่วมกับคณะกรรมการกฤษฎีกาคณะ 1 ซี่งมีนายมีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นประธานในวันที่ 6 มิถุนายน นี้ โดยมีข่าวว่า ผู้มีอำนาจจะใช้ความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาคณะ 1 มารับรองการตีความใหม่ที่ตรงข้ามจากการตีความเดิม เพื่อเปิดทางให้ผู้ตรวจราชการซึ่งเป็นผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงสาธารณสุข ตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 เหมือนกับตำแหน่งรองอธิบดีที่เป็นผู้บริหารระดับต้นของกรมต่างๆ ให้ สามารถเป็นผู้สมัครเป็นเลขาธิการ สปสช.ได้ โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดความเสียหายต่อระบบการบริหารราชการแผ่นดิน และความน่าเชื่อถือของการตีความข้อกฎหมายของคณะกรรมการกฤษฎีกาในระยะยาว
ชมรมแพทย์ชนบท และภาคีสุขภาพ มีความเป็นห่วงต่อการเคลื่อนไหวแทรกแซงกระบวนการคัดเลือกเลขาธิการ สปสช. ที่ไม่ได้ดำเนินไปตามครรลองที่ถูกต้องเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา เพื่อให้ได้เลขาธิการ สปสช.ที่มีความรู้ มีประสบการณ์ มีผลงานเป็นที่ยอมรับของสังคม และมีคุณสมบัติตามที่กฎหมายกำหนดไว้ และเพื่อให้บรรลุตามแผนการยึดครอง สปสช.แบบเบ็ดเสร็จของทีมงานใกล้ตัวรัฐมนตรี ถึงกับจะใช้ต้นทุนความน่าเชื่อถือของคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นเครื่องมือกลับคำตีความข้อกฎหมายใหม่ จึงขอเรียกร้องให้
1. ขอให้ประชาชนทุกคนในระบบหลักประกันสุขภาพ และเครือข่ายสุขภาพทุกเครือข่าย จับตัวดูความพยายามแทรกแซงของผู้มีอำนาจเพื่อให้คณะกรรมการกฤษฎีกามีการตีความข้อกฎหมายใหม่ให้ต่างจากที่เคยตีความเดิม
2. ขอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข หยุดดำเนินการที่เสี่ยงกับการทำลายความน่าเชื่อถือของคณะกรรมการกฤษฎีกาในการตีความข้อกฎหมาย
3. ขอให้คณะกรรมการกฤษฎีกา ยึดหลักการการตีความข้อกฎหมาย โดยคำนึงถึงการตีความและข้อแนะนำที่ผ่านมา ไม่ยอมให้ผู้มีอำนาจมากำหนดธงการตีความตามที่ต้องการ
การคัดเลือกเลขาธิการ สปสช. คนใหม่ ตามกระบวนการที่ถูกต้องที่กฎหมายกำหนดไว้ และเปิดเผย โปร่งใส เพื่อให้ได้คนที่มีประสบการณ์ เหมาะสม และเป็นที่ยอมรับของสังคมว่า จะปกป้องและพัฒนาระบบหลักประกันสุขภาพของไทยให้ต่อเนื่องต่อไปได้ โดยเฉพาะในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของสังคมในขณะนี้ จะเป็นตัวบอกถึงความรับผิดชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งชมรมแพทย์ชนบท และภาคีเครือข่ายสุขภาพ กลุ่มผู้ป่วยและประชาชน จะติดตามอย่างใกล้ชิด และจะไม่ยอมปล่อยให้ระบบหลักประกันสุขภาพของไทยต้องถูกทำลายลงในยุคสมัยของรัฐมนตรี ภายใต้รัฐบาล คสช.นี้
