ปี' 55 ไทยอ่วมโดนลูกหลงวิกฤตเศรษฐกิจโลก
“นิด้า” โพล เผยคนไทย 51% คาดเศรษฐกิจหลังน้ำลดจะแย่ลง ในขณะที่ด้านปรองดองจะดีขึ้น กรรมการ ผจก. ศูนย์วิจัยกสิกร แนะไทยต้องรักษา 2 เรื่อง ความสามารถในการแข่งขัน -วินัยทางการเงินและการคลัง
วันที่ 28 ธันวาคม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ จัดเสวนา เรื่อง “ทิศทางและความท้าทายของเศรษฐกิจไทยปี 2555” โดยมี ดร.สมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาเศรษฐกิจส่วนรวมและการกระจายรายได้ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ดร.บันลือศักดิ์ ปุสสะรังสี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักวิจัย สายนโยบายความเสี่ยงธนาคารซีไอเอ็มบีไทย จำกัด (มหาชน) ดร.เชาว์ เก่งชน กรรมการผู้จัดการบริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ร่วมเสวนา
ดร.สมชัย กล่าวว่า การคาดการณ์เศรษฐกิจในยุคหลังๆ นั้น เป็นการคาดการณ์ที่ยากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากมีปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ ซึ่งเปลี่ยนแปลงเร็วขึ้น และคาดการณ์ไม่ได้ล่วงหน้ามากขึ้น อีกทั้งมีหลายปัจจัยที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นแต่ก็เกิดขึ้น
“เศรษฐกิจไทยจะเติบโตไม่ถึง 4.8% เพราะถ้ามองดูแล้วผลกระทบที่เป็นปัจจัยใหญ่มากที่สุด ผลกระทบเศรษฐกิจโลกต่อไทยมีความเสี่ยงมาก เช่น เศรษฐกิจยุโรปมีความเสี่ยงสูงมากที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอย รวมถึงปัญหาความไม่เด็ดขาดทางการเมือง “ ดร.สมชัย กล่าว และว่า ดังนั้นต้องความสำคัญและคอยจับตาดูเศรษฐกิจของประเทศจีน เพราะที่ผ่านมาจีนได้ช่วยเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจของเอเชียมาตลอด แต่ปัญหาคือปีหน้าจีนมีความเสี่ยงสูงที่จะชะลอตัวลงอย่างรุนแรง ซึ่งไทยก็จะได้รับผลกระทบด้านเศรษฐกิจไปด้วย
ดร.สมชัย กล่าวถึงสิ่งที่รัฐบาลไทยต้องคิดใหม่คือ นโยบายภาคอุตสาหกรรม เนื่องจากที่ผ่านมาหลายสิบปี เราคิดอย่างเดียวว่าจะเลิกเป็นประเทศเกษตรกรรม และจะเป็นประเทศอุตสาหกรรม ซึ่งการที่ส่งเสริมด้านอุตสาหกรรมเพียงอย่างเดียว ทำให้การผลิตด้านอุตสาหกรรมมากเกินไป โดยลืมคิดถึงเรื่องการส่งเสริมภาคบริการ รวมทั้งระบบการศึกษาก็ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพทางด้านบริการ ทุกอย่างมุ่งประเด็นไปที่ภาคอุตสาหกรรม
“เมื่อเชื่อมโยงไปถึงเรื่องค่าแรง 300 บาท ความเหลื่อมล้ำในสังคม แม้ว่าเรื่องค่าแรงขั้นต่ำจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำลงได้ แต่สภาพความเป็นจริงปัจจุบันไม่ใช่ สิ่งที่สามารถทำได้คือเอากฎระเบียบภาคบริการออกให้หมด และเชื่อว่าในอีก 10 ปีข้างหน้าจะทำให้เศรษฐกิจไทยเกิดความสมดุลได้”
เมื่อถามถึงประเด็นความขัดแย้งทางการเมืองในประเทศไทยมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย หรือไม่นั้น ดร.สมชัย กล่าวว่า ระยะเวลา 4-5 ปี ที่ผ่านพิสูจน์ได้ว่าการเมืองสำคัญต่อเศรษฐกิจ คือถ้าการเมืองไม่นิ่งนักลงทุนก็จะไม่อยู่
“ ปี 2555 การเมืองยังคงมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจ แต่จะอยู่ในระดับที่สามารถบริหารจัดการได้ ต่างจากเดิมที่ผ่านมา คือถ้าจะมีการประท้วงขึ้นอีก นั่นคือรัฐบาลเป็นผู้จุดประกาย เนื่องจากทุกอย่างอยู่ในมือรัฐบาล ที่สามารถควบคุมจังหวะได้ ฉะนั้นหากรัฐบาลต้องการหลีกเลี่ยงก็ต้องไม่ทำเรื่องนั้นๆให้เกิดขึ้นเท่านั้นเอง” ดร.สมชัย กล่าว และว่า จากประสบการณ์ด้านการเมือง 4-5 ปีที่ผ่านมา สิ่งที่สอนเราคือการจะต่อต้านหรือเกิดการเผชิญหน้าต้องมีอารยะมากขึ้น ทั้งสองฝ่าย
ขณะที่ ดร.บันลือศักดิ์ กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยจะมีการขยายตัวในอัตราที่ต่ำ หรือหดตัวในปี 2555 โดยคาดว่าในปี 2555 วิกฤตการเมืองในตะวันออกกลางจะส่งผลให้ OPEC ต้องการราคาน้ำมันสูง เพราะหลายประเทศต้องนำเงินไปใช้จ่ายในเรื่องของสวัสดิการ
“ขณะที่การส่งออกทั่วโลกมีการชะลอตัวลง รวมถึงในเอเชียตะวันออกก็มีการโตน้อยลง ซึ่งวิกฤตในยุโรปจะส่งผลต่อการส่งออกมาก เศรษฐกิจต้องพบเจอกับอุปสรรคมาก และเป็นไปได้มากที่ในปี 2555 เศรษฐกิจจะโตน้อย หรือไม่โตเลย และอาจจะติดลบ” ดร.บันลือศักดิ์ กล่าว และว่า ปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยยังคงเป็นปัจจัยภายนอกประเทศเป็นหลัก และมีแนวโน้มรุนแรงเพิ่มขึ้น
ส่วนดร.เชาว์ กล่าวว่า โจทย์สำคัญของประเทศไทย คือ ความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนต่างประเทศที่ถูกกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วม แม้ว่ารัฐจะดำเนินการได้เพียงใดเรื่องของการป้องกันอุทกภัย แต่ในที่สุดนักลงทุนต้องมีการกระจายการผลิตเพื่อกระจายความเสี่ยง
“เราต้องถามตัวเราเองว่า ทิศทางอุตสาหกรรมจะเป็นไปอย่างไร เพราะเรารู้ว่าการขยายตัวมีขีดจำกัด ฉะนั้นจึงต้องหาวิธีจะจัดการอย่างไร นอกจากนี้ การที่เรากำลังเข้าสู่สมาคมอาเซียน ในปี 2015 จะส่งผลให้ความสามารถในภูมิภาคมีการเปลี่ยนแปลง เป็นอีกหนึ่งโจทย์ของประเทศไทย ฉะนั้น ผู้ประกอบการและรัฐบาลต้องคิดได้แล้วในภาวะเช่นนี้จะเดินไปอย่างไร”
ดร.เชาว์ กล่าวด้วยว่า ที่สำคัญคือเรื่องของวินัยทางการเงินและการคลัง ซึ่งยุโรปเป็นตัวอย่างให้เห็นว่าการดำเนินนโยบายโดยไม่รักษาวินัยทางการเงินการคลัง สุดท้ายแล้วผลลัพธ์คือความไม่มีเสถียรภาพ ดังนั้น ประเทศไทยควรต้องมีเสาหลักใน 2 เรื่อง คือ ความสามารถในการแข่งขัน และวินัยในการดำเนินการทางการเงินและการคลังที่ดี จะช่วยสร้างความมั่นใจต่อความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจ”
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในเวทีเสวนามีการนำเสนอ รายงานผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับ “เศรษฐกิจ ในรอบปี 2554” พบว่า ประชาชนมองว่าทิศทางสถานการณ์บ้านเมืองด้านเศรษฐกิจหลังน้ำลดจะเป็นไปในทิศ ทางที่แย่ลงถึง ร้อยละ 51.63 ในขณะที่มีการคาดการณ์ว่าด้านความสามัคคีปรองดองของคนในชาติจะเป็นไปในทาง ที่ดีขึ้น
นอกจากนี้ยังพบว่า ประชาชนส่วนใหญ่กังวลหรือหนักใจที่สุด ในเรื่องของปัญหาสินค้าอุปโภคบริโภคมีราคาสูงขึ้น ร้อยละ 57.07 รองลงมาคือ ปัญหาตกงานไม่มีงานทำ,สินค้าอุปโภคบริโภคขาดแคลน, ไม่มีเงินทุนทำมาหากิน หรือฟื้นฟูที่ทำกิน ตามลำดับ โดย ร้อยละ 45.96 ของประชาชน เห็นว่าสิ่งรัฐบาลควรทำเป็นอันดับแรกหลังน้ำลดคือ เร่งฟื้นฟูบ้านเมือง ระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานต่างๆ และสิ่งแวดล้อม
