เพิกถอนค่ารถผู้พิพากษา ‘กบศ.’ จ่ออุทธรณ์สู้คดีต่อ
ฮือฮาค่าตอบแทนลัดอาวุโส! ศาลปกครองเพิกถอนระเบียบคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม ว่าด้วยค่าตอบแทนรถประจำตำแหน่ง หลังผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลจังหวัดนครปฐมฟ้อง เพราะผู้พิพากษาชั้นต้นประจำกองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา ศาลอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ภาค ที่อาวุโสน้อยได้ค่าตอบแทน 25,400 บาท/เดือน เท่าผู้พิพากษาหัวหน้าคณะ
เมื่อวันที่ 18 มิถุนายนที่ผ่านมา ศาลปกครองกลาง พิพากษาเพิกถอนระเบียบคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม ว่าด้วยรถราชการและค่าตอบแทนเหมาจ่ายแทนการจัดหารถประจำตำแหน่ง พ.ศ.2547 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยระเบียบคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม ว่าด้วยรถราชการและค่าตอบแทนเหมาจ่ายแทนการจัดหารถประจำตำแหน่ง (ฉบับที่ 13) พ.ศ.2558 ประกาศ ณ วันที่ 9 มีนาคม 2588 เฉพาะข้อ 33/6 วรรคสอง ที่กำหนดให้ผู้ดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาศาลชั้นต้นประจำกองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกาที่รับเงินเดือนชั้น 3 และได้ปฏิบัติหน้าที่ในกองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ปี ให้ได้รับค่าตอบแทนเหมาจ่ายแทนการจัดหารถประจำตำแหน่ง
คดีดังกล่าว นายตรัณ ขมะวรรณ ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลจังหวัดนครปฐม ฟ้องคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม (ก.บ.ศ.)
คำฟ้องระบุว่า ข้อ 33/6 วรรคสาม กำหนดให้ผู้ดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลจังหวัด ศาลแขวง และศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัด ที่มีอาวุโสสูงสุดคนแรกรองจากผู้พิพากษาหัวหน้าศาลของแต่ละศาล ให้ได้รับค่าตอบแทนเหมาจ่ายแทนการจัดหารถประจำตำแหน่งตามบัญชีหมายเลข 3 ซึ่งข้อ 2.9 ของบัญชีดังกล่าวกำหนดอัตรา 25,400 บาท
ข้อ 33/6 วรรคหนึ่ง กำหนดว่าผู้ดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาชั้นต้นประจำกองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา ศาลอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ภาค ที่มีอาวุโสไม่ต่ำกว่าผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลชั้นต้นที่มีสิทธิได้รับค่าตอบแทนเหมาจ่ายแทนการจัดหารถประจำตำแหน่งคนสุดท้าย ให้ได้รับค่าตอบแทนเหมาจ่ายตามบัญชีหมายเลข 3 ซึ่งข้อ 2.7 กำหนดอัตรา 25,400 บาท
หมายความว่าผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลชั้นต้นที่มีสิทธิได้รับค่าตอบแทนเหมาจ่ายฯ ตามข้อ 33/6 วรรคสาม ข้างต้น หากไม่ประสงค์จะรับราชการในศาลชั้นต้นส่วนภูมิภาค แต่จะรับราชการอยู่ที่กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา ศาลอุทรธณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาค ก็ให้ได้รับสิทธิเช่นเดียวกัน
และข้อ 33/6 วรรคสอง กำหนดว่าผู้ดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาศาลชั้นต้นประจำกองผู้ช่วยฯ ที่ได้รับเงินเดือนชั้น 3 และได้ปฏิบัติหน้าที่ในกองผู้ช่วยฯ มาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ปี ให้ได้รับค่าตอบแทนเหมาจ่ายแทนการจัดหารถประจำตำแหน่งตามบัญชีแนบท้ายหมายเลข 3 ซึ่งข้อ 2.8 กำหนดอัตรา 25,400 บาท
หมายความว่าผู้พิพากษาศาลชั้นต้นที่ได้รับเงินเดือนชั้น 3 แต่ยังไม่มีอาวุโสถึงขั้นเป็นผู้พิพากษาศาลหัวหน้าคณะในศาลชั้นต้น เฉพาะผู้ที่รับราชการในกองผู้ช่วยฯ มาครบ 1 ปีแล้วเท่านั้น จึงจะเป็นผู้มีสิทธิได้รับค่าตอบแทนดังกล่าวเช่นเดียวกับผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลชั้นต้น ที่มีระยะเวลารับราชการต่างกันถึง 8 ปี
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ระเบียบดังกล่าวกำหนดขึ้นเพื่อให้ผู้ดำรงตำแหน่งต่างๆ มีความสะดวกในการเดินทางมาปฏิบัติราชการ จึงต้องมีรถประจำตำแหน่งหรือให้ค่าตอบแทนโดยมุ่งหมายให้จัดหารถประจำตำแหน่งเองโดยกำหนดประเภทไว้คือ 1.ตำแหน่งผู้บริหารศาลยุติธรรม และ 2.ตำแหน่งตุลาการศาลยุติธรรม โดยกำหนดอิงการดำรงตำแหน่งระดับสูงหรืออิงความเป็นผู้บริหารของศาลไว้ด้วย มิใช่ให้แก่ตุลาการศาลยุติธรรมทุกระดับหรือทุกคนเป็นสำคัญ
ดังนั้นตุลาการศาลยุติธรรมที่จะมีสิทธิได้รับค่าตอบแทนดังกล่าว จึงต้องอยู่ในกลุ่มเดียวกันทั้งหมด กล่าวคือ เข้ามาทำงานพร้อมกันหรือมีระยะเวลาการปฏิบัติหน้าที่เท่ากัน ได้รับเงินเดือนหรือเงินประจำตำแหน่งเท่ากัน จึงอยู่ในลำดับอาวุโสเดียวกัน
พิพากษาเพิกถอนระเบียบคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม ว่าด้วยรถราชการและค่าตอบแทนเหมาจ่ายแทนการจัดหารถประจำตำแหน่ง พ.ศ.2547 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยระเบียบคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม ว่าด้วยรถราชการและค่าตอบแทนเหมาจ่ายแทนการจัดหารถประจำตำแหน่ง (ฉบับที่ 13) พ.ศ.2558 ประกาศ ณ วันที่ 9 มีนาคม 2588 เฉพาะข้อ 33/6 วรรคสอง
นายบวรศักดิ์ ทวิพัฒน์ โฆษกสำนักงานศาลยุติธรรม กล่าวว่า คำพิพากษาศาลปกครองกลางดังกล่าว เป็นคำพิพากษาระดับศาลชั้นต้นของศาลปกครอง คดีจึงยังไม่ถึงที่สุด ยังต้องมีขั้นตอนกระบวนการทางกฎหมายปกครองเพื่อให้ได้รับการพิจารณาพิพากษาวินิจฉัยเป็นบรรทัดฐานจากศาลปกครองสูงสุด
เขากล่าวว่า การเพิกถอนกฎหรือคำสั่งนั้น โดยหลักศาลปกครอง มีอำนาจกำหนดให้มีผลย้อนหลังหรือไม่ก็ได้ หรือมีผลไปในอนาคตถึงขณะหนึ่งขณะใด หรือจะกำหนดให้มีเงื่อนไขอย่างใดก็ได้ แต่สำหรับกรณีนี้ ศาลปกครองกลางไม่ได้พิพากษากำหนดให้การเพิกถอนมีผลย้อนหลัง ดังนั้นจึงต้องพิจารณาว่าคดีถึงที่สุดแล้วหรือไม่ ซึ่งหากเป็นคดีที่ศาลปกครองมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้เพิกถอนกฎแล้ว จึงจะให้มีการประกาศผลแห่งคำพิพากษาดังกล่าวในราชกิจจานุเบกษา และให้การประกาศดังกล่าวมีผลเป็นการเพิกถอนกฎนั้น แต่กรณีนี้เป็นเพียงคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น จึงรอการปฏิบัติตามคำบังคับไว้ก่อนจนกว่าจะพ้นระยะเวลาการอุทธรณ์
ดังนั้นระเบียบ ก.บ.ศ.ว่าด้วยรถราชการและค่าตอบแทนเหมาจ่ายแทนการจัดหารถยนต์ พ.ศ.2547 ในส่วนข้อ 33/6 วรรคสอง ยังคงดำรงอยู่จนกว่าที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาอย่างหนึ่งอย่างใด โดยการอุทธรณ์คำพิพากษาศาลปกครองนั้นต้องรอ ก.บ.ศ.ประชุมสรุปผล ซึ่งคาดว่าในวันที่ 22 มิ.ย.นี้ อาจจะมีการนำเรื่องนี้เข้าสู่การประชุมของ ก.บ.ศ. เนื่องจากตามกฎหมายมีระยะเวลาในการอุทธรณ์ 30 วัน.

