"ประสาร"ต้านพรก.โอนหนี้หวั่นการเมืองดึงทุนสำรองมาใช้
"ประสาร" หวั่นร่างพ.ร.ก.โอนหนี้ มาตรา 7 (3) เป็นการล้วงเอาทุนสำรองมาใช้ ขัด 2 พ.ร.บ."เงินตรา-ธปท." เตรียมขอความชัดเจน ผวากระทบความเชื่อมั่น
ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า รู้สึกเป็นห่วงเรื่องที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 4 ธ.ค.ที่ผ่านมา ที่มีมติเห็นชอบหลักการร่าง พ.ร.ก. ปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้ เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน โดยโอนหนี้ดังกล่าวให้ ธปท. รับผิดชอบทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย จำนวน 1.14 ล้านล้านบาทเพราะจะมีผลไปหักล้างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) เงินตรา และ พ.ร.บ. ธปท.ที่เกี่ยวข้องกับฐานะของธนาคารกลาง
ทั้งนี้ ข้อเป็นห่วงเกี่ยวกับการออกร่าง พ.ร.ก.ดังกล่าวนั้น มีบทบัญญัติที่น่ากลัวในมาตรา 7 (3) ที่ระบุว่า ให้โอนเงินหรือสินทรัพย์ของ ธปท.หรือกองทุนฟื้นฟู เข้าบัญชีตามมาตรา 5 ตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนด นั่นหมายความว่า ครม.สามารถสั่งให้ ธปท.โอนเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ หรือที่ดิน และทุกอย่างที่เป็นสินทรัพย์ได้ โดยเฉพาะคำว่าสินทรัพย์ของ ธปท.นั้น ไม่มีความชัดเจนว่าจะหมายรวมถึง ทุนสำรองเงินตราด้วยหรือไม่ จึงยอมรับว่าเป็นห่วงจะส่งผลกระทบความเชื่อมั่นต่อการทำงานของธนาคารกลางในสายตาต่างชาติ
“ความจริงเรื่องนี้ ถ้ามีเวลาควรจะต้องปรึกษาหารือกัน เพราะ ธปท.ก็มีกลไกและโครงสร้างการบังคับบัญชาของฝ่ายบริหารอยู่แล้ว มีคณะกรรมการ ธปท.ที่ทำหน้าที่พิจารณาเรื่องต่างๆ รวมทั้งยังต้องหารือกับกระทรวงการคลัง เพราะเรื่องเหล่านี้ถือเป็นเรื่องสำคัญของประเทศชาติ จึงควรมีการพิจารณาให้รอบคอบ ไม่ควรรวบรัด ยิ่งไปออก พ.ร.ก.ในลักษณะที่เป็นกฎหมายรวบรัด และยิ่งขัดแย้งเหมือนเป็นการแก้ พ.ร.บ.สำคัญๆ ก็ไม่ควรทำ ธปท.จึงต้องพยายามชี้แจงผ่านกฤษฎีกา ซึ่งเบื้องต้นได้ขอหารือมายัง ธปท.แล้ว ให้รัฐบาลเข้าใจว่า แนวทางนี้อาจได้ไม่คุ้มเสีย และเราคงจะพยายามทำให้ดีที่สุด” ดร.ประสาร กล่าว
กรณีที่จะออก พ.ร.ก.ให้อำนาจ ธปท.เรียกเก็บค่าธรรมเนียมจากสถาบันการเงินนั้น ยอมรับว่าก็เป็นอีกข้อหนึ่งที่เป็นห่วงว่า สุดท้ายจะส่งผ่านภาระไปยังผู้ฝากเงินที่อาจได้ดอกเบี้ยต่ำ และอาจต่ำกว่าที่ควรหรือผู้กู้เงินซึ่งอาจถูกเรียกเก็บดอกเบี้ยแพงกว่าที่ควรจะเป็น และอาจทำให้ธุรกิจธนาคารพาณิชย์มีความสามารถในการแข่งขันลดลงด้วย ส่งผลให้การทำหน้าที่เป็นตัวกลางเชื่อมระหว่างเงินออมกับนักลงทุนก็จะลดประสิทธิภาพลง เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาระบบสถาบันการเงินในอนาคต![]()
