ไก่อูเตือนโซเชียลมีเดียกุข่าวทำสังคมสับสน ป้องซื้อเสียง จำคุก10ปี
"บิ๊กตู่"รู้เรื่องโจ๋ทำลายบัญชีรายชื่อลงประชามติร่าง รธน. แล้วเตือนระวังเข้าข่ายผิดกฎหมาย แจงกระแสโซเชียลใส่เลขประจำตัว 13 หลัก แล้วข้อมูลหลุด ยันปลอดภัย ขณะที่"สปท."เตรียมเสนอ"กฎหมายปราบซื้อเสียง" วางโทษจำคุก 10 ปี ยุบพรรคได้เฉพาะการล้มล้างการปกครองเท่านั้น
พล.ต.สรรเสริญแก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงกรณีกลุ่มวัยรุ่นเข้าไปฉีกทำลายบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิออกเสียงประชามติที่ติดไว้บริเวณศาลาประจำหมู่บ้านใน จ.กำแพงเพชร ว่าหลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจและฝ่ายปกครอง ได้ร่วมกันสืบสวนติดตามตัวผู้กระทำผิด โดย พล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)รับทราบเรื่องดังกล่าวแล้ว และอยากเตือนสติสังคมให้ระมัดระวังการกระทำที่อาจเข้าข่ายผิดกฎหมาย และไม่หลงเชื่อผู้ที่ไม่หวังดี เพราะหากฝ่าฝืนกฎกติกาก็จะต้องถูกดำเนินคดี ซึ่งไม่เป็นผลดีกับใครทั้งสิ้น และยังได้กำชับให้ศูนย์รักษาความสงบเรียบร้อยเพื่อการออกเสียงประชามติทั้งในระดับจังหวัดและอำเภอเฝ้าระวังป้องกันและระงับเหตุอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะช่วงใกล้วันลงประชามติ
พล.ต.สรรเสริญ กล่าวต่อถึงการปล่อยข่าวสร้างความสับสนทางสื่อสังคมออนไลน์ หรือโซเชียลมีเดียให้ระวังการตรวจสอบรายชื่อผู้มีสิทธิออกเสียงประชามติทางเว็บไซต์ของกรมการปกครองwww.khonthai .com ว่า หากกรอกเลขประจำตัวประชาชน 13 หลักแล้ว จะทำให้ข้อมูล ประชาชนไม่ปลอดภัย ถูกแก้ไขหรือถูกลักลอบไปทำธุรกรรมที่เสียหายนั้น เรื่อง ดังกล่าวไม่เป็นความจริง เพราะการ กรอกเลขประชาชนเป็นเพียงการนำเข้าสู่ ระบบแสดงผลข้อมูลอัตโนมัติที่ทำให้ผู้ใช้งานทราบว่าตนเองเป็นผู้มีสิทธิออกเสียงประชามติหรือไม่ จึงไม่เกี่ยวข้องกับ
การแก้ไขข้อมูลใดๆ ขณะเดียวกัน กรมการปกครองมีฐานข้อมูลพื้นฐานของประชาชนอยู่แล้วนับตั้งแต่วันที่ทุกคนยื่นคำขอมีบัตรประจำตัวประชาชน จึงไม่ต้องกังวลว่าจะเป็นการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล อีกทั้งในปัจจุบันการให้บริการประชาชนผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ของหน่วยงานต่างๆ ก็ใช้การกรอกเลขบัตรประชาชนในการดำเนินการตามขั้นตอนปกติ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องที่อันตรายแต่อย่างใด
พล.ต.สรรเสริญ ยังกล่าวถึงกรณีพรรคเพื่อไทยออกมายกย่อง "ตุรกีโมเดล" หรือ พลังประชาชนที่ออกมาต่อต้านการรัฐประหาร ซึ่งเป็นการทำลายระบอบประชาธิปไตย ว่า พรรคเพื่อไทยอาจเข้าใจผิดเกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นโดยพยายามตีความเหตุการณ์ด้วยการกล่าวอ้าง ประชาธิปไตย และโยนบาปให้กับทหาร ซึ่งหลังจากพรรคเพื่อไทยได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ก็มีผู้รู้และนักวิชาการหลายคนออกมาอธิบายข้อเท็จจริงที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้เห็นว่าข้อมูลที่พรรคเพื่อไทยพยายามสร้างกระแสสังคมนั้นจุดไม่ขึ้น ทั้งยังบ่งบอกด้วยว่า ผู้นำเสนอข้อมูลได้เล่าเรื่องราวเพียงด้านเดียว จนขาดความน่าเชื่อถือ
ที่รัฐสภา นายอมร วาณิชวิวัฒน์โฆษกคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.) กล่าวถึงกรณีคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เตรียมจัดให้มีการดีเบตร่างรัฐธรรมนูญ ผ่านสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ว่า ล่าสุด กรธ.ยังไม่ได้รับหนังสือเชิญให้เข้าร่วม โดยวันที่ 22 ก.ค.นี้ จะมีการประชุม กรธ.หลังจากผ่านช่วงวันหยุดยาว หากได้รับหนังสือเชิญก็จะหยิบยกเข้าหารือในที่ประชุมวันดังกล่าว ทั้งนี้ส่วนตัวมองว่า หากเวทีถกแถลงร่างรัฐธรรรมนูญ เป็นลักษณะแลกเปลี่ยนความเห็นกันแบบนี้รับได้ไม่มีปัญหา อีกทั้งพิธีกรต้องมีความเป็นกลาง แต่ถ้าต้องขึ้นโพเดียมแลกหมัดกันอย่างเอาเป็นเอาตายคงไม่เหมาะ ซึ่งต้องรอว่าจะเป็นรูปแบบใด ขณะที่ในส่วนของตนที่เคยบอกรับคำท้าดีเบตกับทุกฝ่ายนั้น ยังยืนยันรับคำท้าเหมือนเดิม และถ้าได้รับเชิญส่วนตัวจริงก็ต้องหารือใน กรธ.ก่อน เพราะเป็นเรื่องส่วนรวม ส่วนที่บางคนบอกว่า กกต.ช้าไป ควรเปิดให้ถกเถียงตั้งแต่ 2 เดือนที่แล้วนั้น ตนว่าการจัดเวทีช่วงโค้งสุดท้ายมีความสมดุลแล้ว ไม่ถือว่าช้าไปหรือเสียของ
เมื่อถามว่า กรธ.มีความมั่นใจหรือไม่ว่าร่างรัฐธรรมนูญจะผ่านประชามติเพราะเริ่มมีการพูดถึงทางออกหากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่าน นายอมร กล่าวว่าต้องยอมรับว่าจนถึงเวลานี้มีความเป็นไปได้ทั้งสองทาง คือผ่านกับไม่ผ่าน แม้ผลสำรวจความคิดเห็นจะออกมาว่าประชาชนจะรับมากกว่าไม่รับ แต่ประชาชนที่ยังไม่แน่ใจว่าจะลงประชามติในแนวทางใดยังมีอีกถึง 60 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนที่มากทำให้คาดเดายากว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร ทั้งนี้ หากร่างรัฐธรรรมนูญไม่ผ่านความเห็นชอบจากประชาชนทาง กรธ.ก็ไม่มีปัญหา เพราะเป็นการตัดสินใจของประชาชน และ กรธ.เองก็ไม่เคยเตรียมแผนรับมือเกี่ยวกับเรื่องนี้ หากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านก็แค่แยกย้ายกันแต่แน่นอนว่าย่อมเสียใจเป็นธรรมดาเพราะ กรธ.ทำหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ โดยที่ทุกคนมองประโยชน์ของบ้านเมืองเป็นหลักด้วยความตั้งใจจริงอย่างไรก็ตาม เรายังเชื่อมั่นว่าผลจะออกมาดี หากประชาชนได้ศึกษาร่างรัฐธรรมนูญอย่างถ่องแท้
วันเดียวกัน นายเสรี สุวรรณภานนท์ประธานคณะกรรมาธิการ(กมธ.) ขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการเมืองสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.)เปิดเผยว่า คณะ กมธ.เตรียมกำหนดประเด็นสำคัญเพื่อบรรจุในร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง ที่ต้องดำเนินการหากร่างรัฐธรรมนูญผ่านประชามติจำนวน 4 ฉบับ ประกอบด้วย 1.การเลือกตั้ง ส.ส. 2.การได้มาซึ่งส.ว. 3.พรรคการเมือง และ 4.คณะกรรมการการเลือกตั้ง
นายเสรี กล่าวว่า เจตนารมณ์ของกฎหมายเหล่านี้ต้องการสร้างความโปร่งใสให้เกิดขึ้น ป้องกันไม่ให้นายทุนมาควบคุมพรรคการเมือง และลดการซื้อสิทธิขายเสียง โดยจะมีการกำหนดบทลงโทษที่สูงขึ้น เช่น ระวางโทษจำคุก 10 ปีสำหรับผู้ซื้อเสียง และถ้าเป็นกรณีที่มีกลุ่มนายทุนเข้ามาครอบงำพรรคการเมืองจะต้องโทษจำคุก 10 ปี และปรับ 20 ล้านบาทนอกจากนี้จะเสนอให้มีการกำหนดรางวัลนำจับแก่ผู้ที่สามารถชี้เบาะแสให้กับผู้ทำผิดกฎหมายเลือกตั้งเป็นเงิน 1 แสนบาท
นายเสรี กล่าวอีกว่า ส่วนบทลงโทษว่าด้วยการยุบพรรคการเมืองและเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งยังคงมีอยู่ตามเดิม แต่จะเป็นเฉพาะกรณีที่พรรคการเมืองมีพฤติการณ์ล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ
"จะไม่มียุบพรรคการเมืองที่มาจากการกระทำความผิดของกรรมการบริหารพรรคเพียงคนเดียว เพราะพรรคการเมืองถือเป็นสถาบันสำคัญทางการเมืองแต่จะกำหนดบทลงโทษเฉพาะกรรมการบริหารพรรคที่กระทำความผิดเฉพาะบุคคลเท่านั้น" นายเสรี กล่าว
ขอขอบคุณข่าวจาก
