ชำแหละ พฤติกรรม 'ชสท.-5 ตัวละคร' คดีทุจริตจัดซื้อปุ๋ย 407 ล. - อ.ต.ก.รับ 3%
เปิดพฤติกรรมละเอียด กลุ่มเอกชน-ผู้เสนอราคา 3 ราย ในคำพิพากษาศาลฎีกาฯ คดีทุจริตจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ ก. เกษตรฯ 407 ล. ‘5 ตัวละครเอก’ ใช้โทร.ติดต่อกันก่อนฮั้วประมูล ตั้ง บ.จัดสรรผลประโยชน์ ชุมนุมสหกรณ์ฯ เป็นสำนักงาน - อ.ต.ก.หวังรับผลประโยชน์ตอบแทน 3%

สืบเนื่องเมื่อวันที่ 8 มิ.ย.2559 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาจำคุก นายชูชีพ หาญสวัสดิ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อดีต ส.ส.ปทุมธานี และอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย (จำเลยที่ 1) และ นายวิทยา เทียนทอง อดีตเลขานุการ รมว.เกษตรฯ (นายชูชีพ) และอดีต ส.ส.สระแก้ว พรรคเพื่อไทย (จำเลยที่ 2) คนละ 6 ปี ความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือโดยทุจริต เหตุเกิดระหว่างวันที่ 17 ก.พ. 2544 ถึงวันที่ 20 ก.ย. 2545 กรณีร่วมกันทุจริตจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ของกรมส่งเสริมการเกษตร จำนวน 140,637,880 กิโลกรัม วงเงิน 407,849,852 บาท โดยเปิดเผยแพร่คำพิพากษาผ่านราชกิจจานุเบกษาอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 11 ส.ค.2559 (คดีหมายเลขแดงที่ อม 60/2559) ตามรายงานก่อนหน้านี้ (อ่านประกอบ : เปิดคำพิพากษาฉบับเต็ม!พฤติกรรม ‘ชูชีพ-วิทยา’ ทุจริตจัดซื้อปุ๋ย 407 ล.- คุกคนละ 6 ปี)
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org นำพฤติการณ์การกระทำความผิด ของนายชูชีพ หาญสวัสดิ์ และนายวิทยา เทียนทอง และ รายชื่อข้าราชการ และเอกชน ซึ่งปรากฎในคำพิพากษามาเสนอ ก่อนหน้านี้ (อ่านประกอบ:รายชื่อ อธิบดี 8 ขรก.-13 เอกชน ในคำพิพากษาศาลฎีกาคดีทุจริตจัดซื้อปุ๋ย 407 ล.)
พฤติการณ์การกระทำความผิดของผู้เกี่ยวข้องในคดีนี้คือมีการกำหนดเงื่อนไขในการประกวดราคาที่ไม่เหมาะสมหลายประการ
1. กำหนดให้ผู้เสนอราคา ต้องมีสต็อกปุ๋ยอินทรีย์จำนวนไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของจำนวนที่จะจัดซื้อซึ่งมีปริมาณมาก
2. การจัดซื้อปริมาณมากที่ส่วนกลางต้องมีเงินประกันสูง หรือ 20.4 ล้านบาท
3. การกำหนดให้ผู้เสนอราคาต้องมีผลงานจำหน่าย ปุ๋ยอินทรีย์ที่เป็นคู่สัญญาโดยตรงกับส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐภายใต้สัญญาเดียว
ในวงเงินจำนวนไม่น้อยกว่า 10 ล้าน บาท อันมีลักษณะเป็นการกีดกันผู้เสนอราคารายย่อย ทำให้มีผู้เข้าร่วมเสนอราคาน้อยรายจากผู้สนใจเข้าซื้อเอกสารประกวดราคา24 ราย มีคุณสมบัติตามประกาศประกวดราคาจำนวนเพียง 5 ราย และมีผู้ยื่นซองเสนอราคาจำนวนเพียง 3 ราย โดยเสนอราคาใกล้เคียงกัน คือ บริษัท ข้าวศิริเอี่ยมแสง จำกัด เสนอราคา กิโลกรัมละ 2.90 บาท
องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร เสนอราคา กิโลกรัมละ 2.94 บาท ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด เสนอราคา กิโลกรัมละ 2.89 บาท ( รายที่สอง 2 กับ 3 เสนอราคาห่างกัน 5 สตางค์)
คราวนี้มาดูพฤติการณ์ของกลุ่มผู้เสนอราคาในการจัดซื้อปุ๋ยครั้งนี้ตามที่ปรากฎในคำพิพากษาศาลฎีกาฯ กันบ้าง
สำนักข่าวอิศรา เรียบเรียงมาเสนอดังนี้
ตามสำนวนการสืบสวนสอบสวน ได้ความโดยสรุปว่า กรมส่งเสริมการเกษตร พร้อมกับผู้กล่าวหาอื่นรวมจำนวน 5 ราย กล่าวหาชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด กับพวกรวมจำนวน 48 ราย ประกอบด้วยกลุ่มข้าราชการของกรมส่งเสริมการเกษตรและผู้ประกอบธุรกิจ คณะพนักงานสืบสวนสอบสวนได้ทำการสืบสวนสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐาน โดยแยกพิจารณาเป็นประเด็นแรกว่า การจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ของกรมส่งเสริมการเกษตร มีการตกลงร่วมกันในการเสนอราคาเพื่อวัตถุประสงค์ที่จะให้ประโยชน์แก่ผู้หนึ่งผู้ใดเป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐโดยหลีกเลี่ยง การแข่งกันอย่างเป็นธรรม ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 4 หรือไม่ คณะพนักงานสืบสวนสอบสวนพิจารณาแล้วมีพยานหลักฐานเชื่อได้ว่า มีการร่วมกันเสนอราคาระหว่างชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร และบริษัท ข้าวศิริเอี่ยมแสง จำกัด ดังนี้
1. การเสนอราคาของชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด และองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) ถูกกำหนดโดย นายมีสิน ภักดีคง และ นายทรงธรรม สมิเปรม
2. บริษัท ข้าวศิริเอี่ยมแสง จำกัด มอบให้ นายชาตรี ศรีสุวรรณ และ นายโสภณ ถาวร (กรรมการบริษัท พืชทองไทย จำกัด) ซึ่งเป็นลูกน้องของ นายมีสิน เข้ายื่นประกวดราคาและนำตรวจสต็อกปุ๋ยอินทรีย์ จึงถือเสมือนว่าการดำเนินการ ของบริษัท ข้าวศิริเอี่ยมแสง จำกัด เป็นการดำเนินการของ นายมีสิน
3. ชุมนุมสหกรณ์การเกษตร แห่งประเทศไทย จำกัด ปล่อยให้ นายมีสิน เข้าดำเนินการประกวดราคาในนามชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด โดยหวังผลประโยชน์ตอบแทนจำนวนตันละ 30 บาท และ นายวีระพล ตรีสาคร ได้รับเงินจากบริษัท พืชทองไทย จำกัด ซึ่งตั้งขึ้นเพื่อจัดสรรผลประโยชน์ในการจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ครั้งนี้ โดยมี นายคำนึง ภู่พันธ์ พนักงานของ นายธเนศ ถนอมทรัพย์ ให้ความร่วมมือในเรื่องสถานที่จัดตั้ง และโทรศัพท์เคลื่อนที่ในการดำเนินการ
4. หลังจากการประกวดราคาแล้ว นายวิชัย ศิริเอี่ยมแสง กรรมการบริษัท ข้าวศิริเอี่ยมแสง จำกัด และ นายชาตรี ศรีสุวรรณ ลูกน้องของ นายวิชัย ได้รับการจัดสรรเป็นผู้รวบรวมสต็อกปุ๋ยอินทรีย์
5. องค์การตลาดเพื่อเกษตรกรปล่อยให้มีการดำเนินการเข้าเสนอราคา ในนามขององค์การตลาดเพื่อเกษตรกร โดยหวังผลประโยชน์ตอบแทนร้อยละ 3 ของราคาขาย โดยไม่ได้ตรวจสอบและปล่อยให้มีการนำสต็อกปุ๋ยอินทรีย์ของผู้ประกอบการที่ได้มอบให้แก่ชุมนุม สหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด อยู่แล้วไปเข้าร่วมเสนอราคาในนามองค์การตลาดเพื่อเกษตรกรอีก
6. จากการตรวจสอบการใช้โทรศัพท์ในช่วงวันที่มีการจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ครั้งนี้พบว่ามีการติดต่อระหว่าง นายวีระพล กับ นายโสภณ นายธเนศ กับ นายโสภณ นายธเนศ กับ นายมีสิน นายทรงธรรม กับ นายธเนศ และ นายทรงธรรม กับ นายโสภณ จำนวนหลายครั้ง
พยานหลักฐานมีมูลให้เชื่อได้ว่าบุคคลและนิติบุคคลต่อไปนี้ คือ
1. ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด 2. องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร 3. บริษัท ข้าวศิริเอี่ยมแสง จำกัด 4. นายวีระพล ตรีสาคร 5. นายประเสริฐ เชยชุ่ม และ 6. นายโสภณ ถาวร กระทำความผิดฐานตกลงร่วมกันในการเสนอราคาเพื่อวัตถุประสงค์ที่จะให้ประโยชน์ แก่ผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐโดยหลีกเลี่ยงการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 4 วรรคหนึ่ง
การกระทำของ นายประเสริฐ เชยชุ่ม เป็นการกระทำในฐานะเจ้าพนักงาน จึงเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ด้วย
และมีบุคคลและนิติบุคคลต่อไปนี้ คือ
1. นายมีสิน ภักดีคง 2. นายทรงธรรม สมิเปรม 2. นายคำนึง ภู่พันธ์ 4. บริษัท พืชทองไทย จำกัด และ 5. นายชาตรี ศรีสุวรรณ ร่วมกันกระทำความผิดฐานเป็นธุระ ในการชักชวนให้้ผู้อื่นร่่วมตกลงกันในการเสนอราคาเพื่อวัตถุประสงค์ที่จะให้ประโยชน์แก่ผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้มีสิทธิ ทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐโดยหลีกเลี่ยงการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 4 วรรคสอง
คณะพนักงานสืบสวนสอบสวนพิจารณาเป็นประเด็นที่ 2 ว่า การจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ของ กรมส่งเสริมการเกษตร มีเจ้าพนักงานกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับ การเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 หรือไม่
คณะพนักงานสืบสวนสอบสวนพิจารณาแล้วเห็นว่า มีการเปลี่ยนแปลงความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยจากปุ๋ยเคมีเป็นปุ๋ยอินทรีย์ โดยอ้างว่าเพื่อให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลไม่น่าจะถูกต้อง เพราะนโยบายเรื่องเกษตรอินทรีย์เป็นนโยบาย ที่ส่งเสริมให้เกษตรกรทำการเกษตรโดยใช้วัสดุธรรมชาติ เช่น ปุ๋ยอินทรีย์ แต่การช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยธรรมชาติเป็นการช่วยเหลือภายใต้หลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินการเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2538 และที่แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2540 ซึ่งเป็นการให้ความช่วยเหลือตามที่เกษตรกรร้องขอผ่านคณะกรรมการระดับต่าง ๆ จนถึงระดับกระทรวง
เมื่อเปรียบเทียบความต้องการความช่วยเหลือปัจจัยการเกษตรต่าง ๆ ของเกษตรกรที่ได้รับภัยพิบัติจากฝนทิ้งช่วงร่องความกดอากาศต่ำ และอุทกภัยอุซางิ พบว่าเกษตรกรต้องการความช่วยเหลือเป็นปุ๋ยอินทรีย์และไม้ผลเพียงร้อยละ 2 ของจำนวนปัจจัยการเกษตรทั้งหมด และเมื่อเปรียบเทียบความต้องการของเกษตรกรระหว่างปุ๋ยอินทรีย์และปุ๋ยเคมี พบว่าเกษตรกรต้องการความช่วยเหลือเป็นปุ๋ยเคมีถึงร้อยละ 96 ส่วนปุ๋ยอินทรีย์มีเพียง ร้อยละ 4 เท่านั้น การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวน่าจะเกิดจากเจตนาอื่น เนื่องจากในคราวประชุมเรื่องการจัดซื้อและจัดหาปัจจัยการผลิตเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรดังกล่าวมีการนำยอดความต้องการของเกษตรกร ที่ประสบอุทกภัยอุซางิซึ่งต้องการความช่วยเหลือเป็นปุ๋ยเคมีมาเปลี่ยนเป็นปุ๋ยอินทรีย์อีก ทั้งที่ยังไม่มี การพิจารณาของคณะกรรมการระดับกระทรวงแต่อย่างใด จึงทำให้จำนวนปุ๋ยอินทรีย์ที่จะจัดซื้อ มีจำนวนสูงถึง 140,523,340 กิโลกรัม
และที่ประชุมยังมีมติให้จัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ในส่วนกลางโดยอ้างว่าเพื่อให้มีมาตรฐานเดียวกัน ซึ่งน่าจะเกิดจากความต้องการรวบรวมงบประมาณให้มียอดวงเงินสูง และเป็นอำนาจจัดซื้อของส่วนกลาง การกำหนดให้ผู้เสนอราคาต้องมีสต็อกปุ๋ยอินทรีย์ไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของจำนวนปุ๋ยอินทรีย์ที่จัดซื้อ ทำให้ผู้เสนอราคาต้องมีสต็อกปุ๋ยอินทรีย์จำนวนไม่น้อยกว่า 70,000 ตัน แม้การกำหนดเงื่อนไขดังกล่าวจะใช้รายละเอียดและเงื่อนไขที่กรมส่งเสริมการเกษตรเคยจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ที่ผ่านมา แต่ปริมาณการจัดซื้อไม่มากเท่ากับครั้งนี้ เงื่อนไขดังกล่าวทำให้ไม่มีผู้ประกอบการรายใดมีสต็อก ตามจำนวนที่กำหนดได้ นอกจากจะต้องมีการรวมตัวกันก่อนที่จะมีการประกาศจัดซื้อของกรมส่งเสริมการเกษตร
เมื่อพิจารณาประกอบกับการใช้โทรศัพท์ของ นายมีสิน และเอกสารที่ได้จากการตรวจค้นบ้านพักของ นายมีสิน แล้ว เชื่อว่าการกำหนดเงื่อนไขน่าจะเป็นการช่วยเหลือ นายมีสิน เตรียมการเข้าเสนอราคาในการจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ครั้งนี้
คณะพนักงานสืบสวนสอบสวนมีพยานหลักฐานเชื่อได้ว่า เจ้าพนักงานผู้เข้าร่วมประชุมกำหนดเงื่อนไข การจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2545 ประกอบด้วย
1. นายสาคร ประไพพงษ์ 2. นายวิลาศ วิชญะเดชา 3. นางสนธยา เชื้อเกี้ยน 4. นายสุพจน์ ชัยวิมล 5. นางอิทธิวดี จิระวัฒน์ 6. นายเอกชัย โอเจริญ และ 6. นายนิพนธ์ เทียมหงษ์ ร่วมกระทำความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าที่ ในหน่วยงานของรัฐโดยทุจริตกำหนดเงื่อนไขอันเป็นมาตรฐานในการเสนอราคาโดยมุ่งหมายมิให้มีการแข่งขัน ในการเสนอราคาอย่างเป็นธรรม หรือเพื่อช่วยเหลือให้ผู้เสนอราคารายใดได้มีสิทธิเข้าทำสัญญา กับหน่วยงานของรัฐโดยไม่เป็นธรรม ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคา ต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 11 และกระทำความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้น การปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ด้วย
ส่วนเจ้าหน้าที่ผู้ตรวจสต็อก ปุ๋ยอินทรีย์ที่ตรวจพบว่ามีการนำสต็อกปุ๋ยอินทรีย์ของผู้ประกอบการเดียวกันมาใช้ในการเสนอราคา ซึ่งอาจนำไปสู่การยกเลิกการประกวดราคา และไม่นำเหตุที่ประธานคณะกรรมาธิการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ มีหนังสือให้ไปชี้แจงมาประกอบการพิจารณาซึ่งอาจนำไปสู่ การยกเลิกการประกวดราคา ละเว้นไม่ดำเนินการเพื่อให้มีการยกเลิกการประกวดราคา ประกอบด้วย
1. นายวิลาศ วิชญะเดชา 2. นายอนุรัตน์ เชียงเห็น 3. นายนริศ หัตถกิจ 4. นายสุพจน์ ชัยวิมล 5. นายสิทธิชัย เจริญกิตติศัพท์ 6. นายสมพงษ์ ขานฤทธิ์ 7. นายรังสรรค์ กองเงิน 8. นายสมชัย เชื้อเกี้ยน 9. นายพงษ์พันธ์ พันธ์มณี 10. นายสาคร ประไพพงษ์ และ 11. นางอิทธิวดี จิระวัฒน์ กระทำความผิดฐานเป็นเจ้้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐ ซึ่งมีอำนาจหรือหน้าที่ในการอนุมัติการพิจารณา หรือการดำเนินการใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเสนอราคา รู้หรือมีพฤติการณ์ปรากฏแจ้งชัดว่าควรรู้ว่า การเสนอราคาในครั้งนั้น มีการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ ละเว้นไม่ดำเนินการเพื่อให้มีการยกเลิก การดำเนินการเกี่ยวกับการเสนอราคาในครั้งนั้น อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิด เกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 10 และการกระทำความผิดฐาน เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ด้วย
นอกจากนี้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินมีหนังสือ ลงวันที่ 28 มกราคม 2546 ถึงเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติว่า การดำเนินการจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ของกรมส่งเสริมการเกษตรน่าจะเป็นการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับ การเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 เป็นเรื่องอยู่ในอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ขอให้พิจารณาดำเนินการต่อไป รวมทั้งมีหนังสือร้องเรียนจากฝ่ายต่าง ๆ ถึงประธานคณะกรรมการ ป.ป.ช. ว่ามีการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 และหัวหน้ากลุ่มการข่าว สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติทำบันทึกข้อความ ลงวันที่ 11 พฤศจิกายน 2545 ถึงเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เสนอรายงานข่าวสารเบื้องต้นเกี่ยวกับการจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ครั้งนี้ โดยมีข้อพิจารณาว่าขั้นตอนการประมูลโครงการจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ตั้งแต่ต้นมีปัจจัยหลายประการที่ส่อให้เห็นว่ามีการทุจริตหรือมีการสมยอมราคา
สำหรับ บริษัท พืชทองไทย จำกัด ที่ผลการสอบสวนของ ป.ป.ช. ระบุว่า ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อจัดสรรผลประโยชน์ในการจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ครั้งนี้ จดทะเบียนวันที่ 13 มิถุนายน 2545 (ก่อนทำสัญญาจัดซื้อเมื่อ 19 ก.ย.2545 ไม่เพียงนาน) ทุน 1 ล้านบาท ประกอบธุรกิจซื้อขายวัสดุการเกษตร ที่ตั้งเลขที่ 95/632 หมู่ที่ 6 ตำบลบางรักพัฒนา อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี นายโสภณ ถาวร เป็นกรรมการ เป็นเพียงบ้านอาศัย (ทาวน์เฮ้าส์) ปัจจุบันเป็นบริษัทร้าง ซึ่งนายทะเบียนได้ขีดชื่อออกจากทะเบียนแล้ว ตามความในมาตรา 1273/3 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2555
ขณะที่ บริษัท ข้าวศิริเอี่ยมแสง จำกัด เป็นของ นายวิชัย ศิริเอี่ยมแสง จดทะเบียนจัดตั้งวันที่ 8 กันยายน 2530 ทุน 1 ล้านบาท ที่ตั้งเลขที่ 22 หมู่ที่ 13 ตำบลชุมเห็ด อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ จดทะเบียนเลิกบริษัท ซึ่งนายทะเบียนได้รับจดทะเบียนไว้แล้ว เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2547 และได้จดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชี เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2547 เป็นเจ้าของเดียวกับ ห้างหุ้นส่วนจำกัด มารวย 93 (รับเหมาก่อสร้าง) และ ห้างหุ้นส่วนจำกัด โรงสีข้าวบุรีรัมย์ศิริเอี่ยมแสง
อย่างไรก็ตาม ป.ป.ช.มีมติชี้มูล นักการเมือง 2 คน ข้าราชการเพียง 8 คน และกลุ่มเอกชน 13 คน
ทั้งหมดคือขบวนการทุจริตจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ ‘สามเหลี่มปิรามิด’ มีทั้งนักการเมือง ข้าราชการ และเอกชน เป็นอีกหนึ่งคดีประวัติศาสตร์ในวงการคอร์รัปชันประเทศไทย
