แถลงการณ์ ข้อสงสัยในกรณีการใช้กฎหมายพิเศษจับกุมผู้ต้องหาคดีอั้งยี่ 15 คน
มูลนิธิผสานวัฒนธรรม แถลงการณ์ ข้อสงสัยในกรณีการใช้กฎหมายพิเศษจับกุมผู้ต้องหาคดีอั้งยี่ 15 คน

เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2559 เจ้าหน้าที่ทหารได้นาตัวชาย13 คน หญิง 2 คน รวม 15 คน ไปยังกอง บังคับการกองปราบปราม สานักงานตารวจแห่งชาติ เพื่อทาบันทึกจับกุมและรับทราบข้อกล่าวหาที่ทางเจ้าหน้าที่ ทหารได้ร้องทุกข์กล่าวโทษผู้ต้องหาทั้งหมด โดยระบุว่ากลุ่มบุคคลดังกล่าวมีการร่วมกลุ่มกันในนามพรรคแนวร่วม ปฏิวัติประชาธิปไตย พิจารณาเห็นว่าพฤติการณ์การกระทาของกลุ่มบุคคลดังกล่าวเป็นความผิดร่วมกันเป็นอั้งยี่ และร่วมกันมั่วสุมหรือชุมนุมทางการเมืองจานวนตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป โดยไม่ได้รับอนุญาตจากหัวหน้ารักษาความ สงบแห่งชาติ โดยเหตุเกิดตั้งแต่วันที่ 19 ธันวาคม 2558 ถึงเดือนมิถุนายน 2559
อย่างไรก็ดีการติดตามจับกุมกลุ่มบุคคลทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายหลังที่มีการวางระเบิด 7 จุดในพื้นที่จังหวัด ภาคใต้ และได้มีการให้ข่าวไปในทานองว่ากลุ่มบุคคลเหล่านี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุวางระเบิด อีกทั้งยังพบว่าเป็น การติดตามจับกุมจากภูมิลาเนาที่แตกต่างกัน เกือบทุกคนมีภูมิลาเนาห่างไกลจากกรุงเทพอย่างมาก ทาให้ไม่ สามารถติดต่อสื่อสารและส่งข่าวให้ญาติพี่น้องได้เลยตลอดระยะเวลาการควบคุมตัวมาตั้งแต่วันที่ 12 และ13 สิงหาคม 2559 โดยในหลายกรณีญาติไม่ทราบว่าผู้ต้องหาถูกจับกุมจนกระทั่งได้ข้อมูลจากสื่อสาธารณะ และไม่ สามารถมาติดต่อขอเยี่ยมได้
มูลนิธิผสานวัฒนธรรมได้รับข้อมูลของผู้ต้องหาจานวน 12 คนใน 15 คนว่า ทุกคนไม่ได้รับอนุญาตให้ พบปะกับญาติตลอดการควบคุมตัว 7 วันที่เรือนจาทหารมทบ. 11 และหลายคนมาทราบในวันที่ 19 สิงหาคม 2559 ว่าญาติมาติดต่อขอเข้าเยี่ยมแต่ไม่ได้เยี่ยม ในขณะที่พวกเขาถูกนาตัวมารับทราบข้อกล่าวหาที่ตารวจกอง ปราบปราม โดยมีข้อหาร่วมกันเป็นอั้งยี่ซ่องโจรและร่วมกันมั่วสุมหรือชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป ตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 209 ประกอบ มาตรา 83 และขัดคาสั่งคสช. ที่ 3/2558 โดยผู้ต้องหาทุกคน ปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา และต่อมาได้ถูกนาตัวไปศาลทหารเพื่อฝากขังแต่ไม่สามารถดาเนินการประกันตัวได้ทัน ผู้ต้องหาชายจึงถูกควบคุมตัวที่เรือนจาพิเศษกรุงเทพ และผู้ต้องขังหญิงสองคนถูกควบคุมตัวที่ทัณฑสถานหญิง กลาง โดยมีทีมทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนและและสมาพันธ์นักกฎหมายเพื่อสิทธิและ เสรีภาพ (สกสส.) ให้คาปรึกษาและให้ความช่วยเหลือผู้ต้องหาและญาติ
จากการสังเกตและพูดคุยกับผู้ต้องหากลุ่มดังกล่าวเบื้องต้นพบว่ามีผู้มีอายุระหว่าง 61-70 ปีจานวน 9 คน อายุระหว่าง 50-60ปีจานวน 5 คน และอายุต่ากว่า 50 ปี จานวนเพียง 3 คน ในจานวนนี้มีผู้ต้องหาอย่างน้อย สามรายเป็นโรคต่อมลูกหมากโต ผู้ต้องหาอีกอย่างน้อย 6 รายเป็นความดันโลหิตสูง สองคนเป็นโรคเก๊าต์ หนึ่ง คนเป็นโรคเบาหวาน และอีกหนึ่งคนมีภาวะเส้นเลือดในสมองตีบ ผู้ต้องหาหญิงหนึ่งรายที่เป็นชาวมุสลิมได้ร้อง ขอให้ทางราชทัณฑ์อนุญาตให้สวมเครื่องแต่งกายตามหลักการศาสนาและสามารถปฏิบัติศาสนกิจได้
มูลนิธิผสานวัฒนธรรมมีความห่วงกังวลอย่างยิ่งต่อการใช้อานาจตามกฎหมายพิเศษที่ทางเจ้าหน้าที่ ทหารได้อ้างในการบังคับใช้กับประชาชนและการดาเนินคดีพลเรือนในศาลทหาร เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ได้อ้างว่าใช้อานาจหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 3/ 2558 ลงวันที่ 1 เมษายน 2558 ทาการ ควบคุมกลุ่มบุคคลที่เชื่อว่าทาความผิด โดยอาศัยจังหวะที่สาธารณชนให้ความสนใจการติดตามจับกุมกลุ่มผู้ ต้องสงสัยวางระเบิดในพื้นที่จังหวัดภาคใต้
การสื่อสารของหน่วยงานความมั่นคงและการรายงานข่าวมีลักษณะกากวมทาให้สังคมเข้าใจ ว่าเป็นการ จับกุมกลุ่มบุคคลที่มีแนวความคิดทางการเมืองที่ต่างจากรัฐบาลและไม่พอใจกับผลการลงประชามติจึงวางระเบิด และวางเพลิงในเจ็ดจังหวัดภาคใต้ ซึ่งเป็นการกระทาผิดร้ายแรง การสร้างความสับสนอลหม่านไม่ใช่แต่ในกลุ่ม ญาติของผู้ต้องหาทั้ง 15 คนเท่านั้นหากแต่ในหมู่ประชาชนทั่วไป ซึ่งต่อมาเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ของสานักงาน ตารวจแห่งชาติได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนในภายหลังว่าบุคคลดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องแต่อย่างใด
การจับกุมบุคคลทั้ง 15 คนดังกล่าวข้างต้น โดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารและโดยใช้อานาจพิเศษ ทาให้ เกิดความสงสัยในการปฏิบัติในครั้งนี้ของเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงเป็นอย่างมากว่า
1. เจ้าหน้าที่ใช้อานาจรัฐในการควบคุมตัวบุคคลทั้ง 15 คนห้ามเยี่ยมจากญาติ อันเป็นการจากัด สิทธิเสรีภาพของบุคคลและขัดต่อหลักการพื้นฐานด้านสิทธิมนุษยชนอย่างยิ่งนั้น ได้กระทาไปโดย ปราศจากเหตุผลอันสมควรหรือไม่?
2. การที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารให้ข่าวต่อสื่อมวลชนในลักษณะที่ทาให้ประชาชนเข้าใจว่า กลุ่มบุคคล ดังกล่าวซึ่งมีแนวคิดและความเชื่อทางการเมืองต่างจากรัฐบาล เกี่ยวข้องกับการวางระเบิดและวางเพลิง ในเจ็ดจังหวัดภาคใต้ โดยที่ยังไม่มีการสอบสวน รวบรวมพยานหลักฐานอย่างชัดเจน นอกจากจะไม่เป็น ธรรมและเสียหายต่อบุคคลทั้ง 15 คนแล้ว ยังเป็นการให้ข่าวมุ่งที่จะทาให้สังคมเกิดความสงสัย หวาดระแวงและเกลียดชังกลุ่มการเมืองฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาล อันจะก่อให้เกิดความขัดแย้งทาง การเมืองในหมู่ประชาชนและเป็นอุปสรรคต่อการสร้างความปรองดองของคนในชาติอีกด้วย หรือไม่?
3. การตั้งข้อหาอั้งยี่ ซ่องโจร เป็นการแก้เกี่ยว หลังจากที่จับมาก่อนสอบสวนทีหลัง แต่ไม่มี พยานหลักฐานว่าคนทั้ง 15 คนเกี่ยวข้องกับการวางระเบิดและวางเพลิง และทางฝ่ายเจ้าหน้าที่ตารวจ ปฏิเสธว่าพวกเขาไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณดังกล่าว หรือไม่? 4. การที่เจ้าหน้าที่ทหารกล่าวหาให้ตั้งข้อหามั่วสุมหรือชุมนุมทางการเมืองเป็นเพียงวิธีการในการ ใช้อานาจโดยมิชอบของเจ้าหน้าที่ทหารเพื่อให้บุคคลเหล่านั้นต้องตกอยู่ในอานาจของศาลทหารหรือไม่? 5. การปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ทหารในการสืบสวนกรณีวางระเบิดและวางเพลิงในเจ็ดจังหวั ด ภาคใต้มีความเป็นมืออาชีพหรือไม่ หรือควรปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตารวจซึ่งมีความรู้ความ ชานาญในการสืบสวนสอบสวนมากกว่าหรือไม่?
มูลนิธิผสานวัฒนธรรม จึงขอเรียกร้องให้ทางรัฐบาลดาเนินการตรวจสอบเรื่องดังกล่าวให้ชัดเจน เพื่อให้ เกิดความโปร่งใส เป็นธรรมต่อผู้ต้องหาทั้ง 15 คน และเกิดความกระจ่างแก่ประชาชน โดยหากพบว่าการ ดาเนินการของเจ้าหน้าที่ทหารมีความบกพร่อง ไม่มีความเป็นมืออาชีพ หรือโดยเจตนาทุจริต ก็ขอเรียกร้องให้ รัฐบาลปล่อยตัวและชดใช้เยียวยาความเสียหายแก่ผู้ต้องหาทุกคน และดาเนินการต่อเจ้าหน้าที่เหล่านั้นตาม กฎหมายด้วย
