ป.ป.ช.พบ 4 บ.มีเอี่ยวเงิน 18 ล. พร้อมมีมติเรียก “สุพจน์” ชี้แจง 23 ม.ค. นี้
ป.ป.ช. เผย พบทรัพย์สินและหนี้สินบางรายการของอดีตปลัดคมนาคม สูงกว่ารายได้ที่ได้แสดงไว้ เตรียมแจ้งข้อหาร่ำรวยผิดปกติ ด้านคดีทุจริตถุงยังชีพ เตรียมสอบเจ้าหน้าที่ ปภ. 14 รายคดีทุจริตถุงยังชีพ เข้าข่ายทำผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ
วันที่ 12 มกราคม นายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการและโฆษก คณะกรรมการป้องกันและปราบการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แถลงความคืบหน้าการไต่สวนคดีทุจริตถุงยังชีพ และการพิจารณาไต่สวนคดีของ นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงคมนาคมว่าทำกระทำความผิดต่อหน้าที่และต่อตำแหน่งหน้าที่ในราชการ จงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินเป็นเท็จ และมีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ ณ สำนักงาน ป.ป.ช. ถนนสนามบินน้ำ
นายกล้านรงค์ กล่าวว่า ในส่วนของคดีทุจริตถุงยังชีพ ทางคณะกรรมการ ป.ป.ช. มอบหมายให้สำนักการข่าวรวบรวมข้อมูลตามที่เผยแพร่ตามสื่อต่างๆ และได้ตั้งเหตุอันควรสงสัย โดยกรรมการ ป.ป.ช.ทั้งชุดเป็นกรรมการไต่สวนทั้งหมด และมอบหมายให้นายประสาท พงษ์ศิวาภัย และนายภักดี โพธิศิริ ดำเนินการรวบรวมข้อมูล โดยขณะนั้นได้ตั้งข้อกล่าวหากรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และเจ้าหน้าที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
“ต่อมาในวันที่ 4 มกราคม 2555 ป.ป.ช. ได้รับเรื่องจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เป็นสำนวนการสืบสวนข้อเท็จจริง โดยระบุว่า พบการกระทำความผิดของเจ้าหน้าที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจำนวน 10 คน ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ระดับผู้อำนวยการกอง และเจ้าหน้าที่ในระดับนักวิเคราะห์นโยบายและแผนชำนาญการ โดย DSI มีความเห็นว่าเจ้าหน้าที่ทั้ง 10 คนได้กระทำการเข้าข่ายความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 จึงได้ส่งเรื่องมาให้ ป.ป.ช.ดำเนินการ”
นายกล้านรงค์ กล่าวต่อว่า จากรายงานของเจ้าหน้าที่ที่ได้แต่งตั้งให้ดำเนินการไต่สวนเรื่องนี้แต่เบื้องต้น มีความเห็นว่า ข้าราชการที่ DSI ส่งมาทั้ง 10 รายอยู่ในข่ายที่มีเหตุอันควรสงสัย หรือมีข้อเท็จจริงที่ปรากฏกับคณะกรรมการ ป.ป.ช.ว่าได้มีมูลกระทำการอันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542
“ขณะเดียวกันคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ดำเนินการไต่สวนไว้อีก 4 ราย โดยไม่ใช่บุคคลที่ทาง DSI ส่งเรื่องมา โดยเป็นข้าราชการระดับรองอธิบดี และข้าราชการที่รักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการสำนัก นอกจากนี้ยังพบข้อเท็จจริงว่ามีห้างหุ้นส่วนอีก 2 ห้างที่เกี่ยวข้อง จึงมีมติให้แจ้งคำสั่งตั้งคณะกรรมการไต่สวนบุคคลทั้ง 14 ราย เพื่อดำเนินการไต่สวน และรวบรวมพยานต่อไป”
นายกล้านรงค์ กล่าวต่อว่า ส่วนในกรณีที่พบความผิดของเจ้าหน้าที่ของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย หรือนอกเหนือจาก 14 รายนี้ และในหน่วยงานอื่น คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติให้พนักงาน เจ้าหน้าที่ และกรรมการที่รับผิดชอบดำเนินการไต่สวนต่อไปได้
ส่วนการพิจารณาไต่สวนคดีของ นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม นายกล้าณรงค์ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้คณะอนุกรรมการได้รายงานให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. โดยรายงานสรุปตามคำสั่งลงวันที่ 7 ธันวาคม 2554 ให้นายสุพจน์ แสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของนายสุพจน์ และคู่สมรส ณ วันที่ 12 พฤศจิกายน 2554 ซึ่งเป็นวันก่อนเกิดเหตุการณ์ปล้น โดยให้ยื่นบัญชีทรัพย์สินภายในวันที่ 11 มกราคม 2555 ปรากฏว่านายสุพจน์ได้มอบหมายให้ผู้แทนมายื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินในวันที่ 10 มกราคม 2555
“ข้อเท็จจริงจากการตรวจสอบเอกสารที่นายสุพจน์ยื่นนั้น ได้แสดงว่าในวันที่ 12 พฤศจิกายน 2554 ก่อนจะมีการปล้นนั้น ที่เงินจำนวน 5,068,000 บาท โดยเป็นเงินสินสอดในเงินที่รับไว้ในงานแต่งงานของบุตรสาวในช่วงเช้าของวันที่ 12 พฤศจิกายน 2554 โดยอ้างว่าบุตรสาวได้มอบเงินจำนวนดังกล่าวให้นายสุพจน์ เก็บไว้ที่บ้านเพื่อเตรียมเข้าบัญชีเงินฝากของบุตรสาวและเจ้าบ่าวในวันเปิดทำการของธนาคาร แต่ทั้งนี้ ไม่ได้มีการชี้แจงถึงที่มาของเงินจำนวน 18 ล้านบาทที่ถูกปล้นไป”
นายกล้านรงค์ กล่าวต่อว่า จากนั้นคณะอนุกรรมการไต่สวนได้ดำเนินการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ที่นายสุพจน์ได้ยื่นไว้กับ ป.ป.ช. ก่อนถูกปล้น 36 บัญชี และหลังถูกปล้นอีก 3 บัญชี พบประเด็นที่น่าสนใจว่า มีรายการทรัพย์สินและหนี้สินบางรายการมีจำนวนสูงกว่ารายได้ที่ได้แสดงไว้
“จากการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินดังกล่าวจำนวน 36 บัญชีรวมกับเงินที่ถูกปล้นไปทั้งหมด 18 ล้านบาทเศษ อนุกรรมการไต่สวนมีมติให้ดำเนินการไต่สวนนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ในข้อหาร่ำรวยผิดปกติ โดยแจ้งให้นายสุพจน์ มารับแจ้งของกล่าวหาในวันที่ 23 มกราคม ในเวลา 14.00 น. ที่สำนักงาน ป.ป.ช. ถนนสนามบินน้ำ เพื่อให้นายสุพจน์ ได้มาชี้แจงว่า เงินทั้งหลายที่คณะอนุกรรมการพิจารณานั้น ได้มาจากที่ไหน ได้มาอย่างไร ได้มาโดยชอบหรือไม่อย่างไร เพื่อจะได้พิจารณาต่อไป”
สำหรับประเด็นเกี่ยวกับเรื่องการทุจริตนั้น นายกล้าณรงค์ กล่าวว่า จากการสอบสวนได้พบเอกสารเกี่ยวกับสายรัดธนบัตร โดยพบว่าในสายรัดธนบัตรนั้นมีบริษัทเอกชนที่เกี่ยวข้องในการทำธุรกรรมกับกระทรวงคมนาคมจำนวน 4 บริษัท ซึ่งคณะกรรมการกำลังดำเนินการไต่สวนในเชิงลึก เพื่อหาตรวจสอบว่าเงินจำนวนดังกล่าวที่บริษัททั้ง 4 มีความเกี่ยวข้องในการเบิกจากธนาคารนั้นมีส่วนสำคัญและเกี่ยวข้องกับการสุพจน์ ทรัพย์ล้อมอย่างไร
“สำหรับบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินว่าเป็นเท็จหรือไม่นั้น คณะกรรมการกำลังตรวจสอบว่าในระยะเวลาในวันที่ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินในแต่ละบัญชี จำนวน 36 ครั้งนั้น มีทรัพย์สินและหนี้สินเกินหรือขาดจากที่ยื่นไปหรือไม่ เพื่อจะได้พิจารณาดูว่าจะเป็นกรณียื่นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงในการยื่นทรัพย์สินหรือไม่”
ทั้งนี้ หากนายสุพจน์ ไม่มารับทราบข้อกล่าวหาในวันที่ 23 มกราคม ทางคณะอนุกรรมการจะส่งข้อกล่าวหาเป็นหนังสือไปที่ภูมิลำเนาของนายสุพจน์ และถ้านายสุพจน์ไม่แก้ข้อกล่าวหาภายในเวลา 15 วัน ถือว่าไม่มีอะไรที่จะแก้ข้อกล่าวหา คณะอนุกรรมการจะได้พิจารณาต่อไป