อดใจรอ'รถไฟไทยโฉมใหม่' นั่ง-นอนฟินล่ะคราวนี้
จุดไคลแม็กซ์ของ “รถไฟโฉมใหม่” คือ ลบภาพความสกปรกโสโครกที่ทิ้งของเสียเรี่ยราดบนรางรถไฟ ด้วยการใช้ระบบปิดสูญญากาศ ทันสมัย มีระบบจัดเก็บสิ่งปฎิกูลไม่ปล่อยทิ้งลงรางอีกแล้ว
เมื่อวันที่ 29 สิงหาคมที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ตีระฆังเปิดขบวนรถไฟเที่ยวปฐมฤกษ์ รถไฟรุ่นใหม่ล็อตแรก รวมทั้งทดลองนั่งจากกรุงเทพฯ-นครปฐมด้วย ส่วนประชาชนอดใจรออีกนิดภายในสิ้นปีนี้ได้ใช้บริการ “รถไฟโฉมใหม่” กันแน่นอน
การรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.) จัดซื้อรถไฟใหม่ 115 คัน รวม 8 ขบวน ประกอบด้วยรถปรับอากาศนั่งและนอนชั้น1 จำนวน9คัน รถปรับอากาศนั่งและนอนชั้น2 จำนวน88คัน รถสำหรับผู้พิการและรถโบกี้ขายอาหารปรับอากาศ 9 คัน รวมทั้งรถกำลังไฟฟ้า ( Power Car ) อีก9คัน มูลค่า 4,668 ล้านบาท จากบริษัท CRRC (China Railway Rolling Stock Corporation) หรือ CNR (China CNR Corporation Limited) ประเทศจีน
ส่งมอบรถแล้ว 65 คัน 5 ขบวน ทดสอบระบบและอุปกรณ์ภายในรถพร้อมวิ่งระยะไกลเสร็จแล้ว 39 คัน3 ขบวน ที่เหลือบริษัทจะทยอยส่งมอบจนครบภายในเดือนพฤศจิกายนนี้ และทดสอบระบบบรรจุวิ่งให้บริการใน4เส้นทาง ได้แก่กรุงเทพฯ - เชียงใหม่ กรุงเทพฯ- อุบลราชธานี กรุงเทพฯ - หนองคาย และกรุงเทพฯ - หาดใหญ่ เตรียมเฮกันได้....
“รถไฟใหม่” เป็นรถปรับอากาศทั้งขบวน ใน 1 ขบวนมี 13 คัน ประกอบด้วย รถปรับอากาศนั่งและนอนชั้นที่ 1 (บนอ.ป.) 1 คัน รถปรับอากาศนั่งและนอนชั้นที่ 2 (บนท.ป.) 1 รถปรับอากาศนั่งและนอนชั้นที่ 2 (บนท.ป.) 10 คัน (รวมรถสำหรับผู้พิการ 1 คัน) และรถโบกี้ขายอาหารปรับอากาศ (บกข.ป.) 1 คัน จะมาพลิกโฉมการรถไฟไทยหลังจากไม่มีการจัดซื้อรถรุ่นใหม่มาเกือบ20ปี
ตู้รถไฟใหม่เอี่ยม เบาะกำมะหยี่ใสปิ๊ง ทันสมัย สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ตั้งแต่พนักงานชายหญิง แต่งยูนิฟอร์มไฉไล เห็นแล้วต้องร้องว๊าว...!! นึกว่าพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินกันเลยทีเดียว
รถปรับอากาศนั่งและนอนชั้นที่ 1 (เฟิร์สคลาส) มี 24 ที่นั่ง 12 ห้อง มี 2ห้องน้ำพร้อมอ่างล้างมือ และ1ห้องอาบน้ำ มีปลั๊กไฟทุกที่นั่งให้สาวกโซเชียลไม่ต้องกลัวแบตหมด จอแอลซีดีแบบทัชสกรีน ห้องละ 2 จอ มีช่องเสียบ USB สำหรับชาร์ตแบตด้วย จอแอลซีดีใช้เป็นช่องทางแจ้งข้อมูลข่าวสารของการรถไฟฯ ถึงผู้โดยสาร รวมถึงรวบรวมรายการบันเทิงชั้นนำ เช่น ภาพยนตร์ เพลง ให้เพลิดเพลินตลอดการเดินทาง
ขณะที่รถปรับอากาศนั่งและนอนชั้น 2 ติดตั้งจอแอลซีดีขนาดใหญ่ 4 จอ ใช้แจ้งเวลาถึงสถานีปลายทาง ข้อมูลข่าวสารอื่นๆ เช่น ป้ายบอกข้างตัวรถ ชื่อสถานี เป็นระบบดิจิตอล จุดไคลแม็กซ์ของ “รถไฟโฉมใหม่” คือ ลบภาพความสกปรกโสโครกที่ทิ้งของเสียเรี่ยราดบนรางรถไฟ ด้วยการใช้ระบบปิดสูญญากาศ ทันสมัย มีระบบจัดเก็บสิ่งปฎิกูลไม่ปล่อยทิ้งลงรางอีกแล้ว คล้ายระบบจัดเก็บสิ่งปฎิกูลบนเครื่องบิน ลดกลิ่นเหม็นและประหยัดน้ำได้มากกว่า เรียกได้ว่ามาปิดตำนาน “ส้วมรถไฟ” กันเลยทีเดียว
นอกจากนี้เพื่อไม่ให้ตกกระแส “โกกรีน” (Go green) ยังใช้ “Power Car” มาจ่ายไฟให้รถโดยสารทั้งขบวน ทดแทนระบบเดิมที่ใช้เครื่องยนต์ในรถโดยสารทุกคัน นอกจากช่วยลดเสียงรบกวนจากเครื่องยนต์แล้ว ยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ช่วยประหยัดพลังงานได้ถึง 13% รวมถึงติดตั้งกล้องวงจรปิดตลอดทั้งคัน ตอกย้ำเรื่องความปลอดภัย ระบบห้ามล้อแบบดิสเบรกเอบีเอส ระบบอัตโนมัติ รวมไปถึงตู้โดยสารสำหรับผู้พิการและผู้สูงวัย มีลิฟท์สำหรับยกรถวีลแชร์ และวีลแชร์สำรองให้ใช้บริการด้วย ไม่ลืมใส่ใจผู้สูงอายุและผู้พิการ
หันมาดูเรื่องฉึกกะฉัก...ฉึกกะฉัก ปู๊นปู๊น...ความเร็วกันบ้าง แม้รถไฟใหม่สามารถทำความเร็วได้สูงสุด 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่จะวิ่งอยู่ที่ 90 - 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เนื่องจากยังใช้รางเดี่ยวเพราะทางคู่ยังสร้างไม่เสร็จ ต้องรอสับหลีกรางแต่จะจอดน้อยลงกว่าเดิม ทำให้ถึงที่หมายปลายทางเร็วขึ้น อย่างเส้นกรุงเทพฯ - เชียงใหม่ จะลดระยะเวลาการเดินทางจาก 13 ชั่วโมง เหลือ 12 ชั่วโมง
ส่วนคำถามว่า...การรถไฟฯ มีหนี้บานเบอะอยู่กว่า 1แสนล้านบาท หากนำรถไฟใหม่มาวิ่งบริการ จะช่วยเพิ่มรายได้เสริมสภาพคล่องได้แค่ไหน...แบบนี้ต้องขึ้นค่าโดยสารแน่ๆ...รฟท.ประเมินว่าจะมีรายได้เพิ่มช่วงแรก 30 ล้านบาทต่อเดือน เมื่อเปิดครบทั้ง 4 เส้นทาง ในปี 2560 วันละ2 ขบวน/ เส้นทาง รวม 8 ขบวน คาดว่าจะมีผู้โดยสารเฉลี่ยปีละ 1.073 ล้านคน รายได้เพิ่มเฉลี่ยปีละ 1,250.9 ล้านบาท
ส่วนรถไฟเดิมที่อายุใช้งานไม่ต่ำกว่า 10 ปี จะนำไปปรับปรุง แล้วนำกลับมาให้บริการใหม่ด้วย โดยปัจจุบันมีรายได้ 8,000 – 9,000ล้านบาทต่อปี จากการจัดเก็บค่าโดยสาร3,500 ล้านบาทต่อปี ขนส่งสินค้า 2,500 ล้านบาทต่อปี และรายได้อื่น 2,000 ล้านบาทต่อปี ด้วยปริมาณผู้โดยสาร 34 ล้านคนต่อปี
ย้ำกันชัดๆ “รถไฟโฉมใหม่” ค่าโดยสารเท่าเดิมในอัตรารถปรับอากาศที่เก็บอยู่...จะนั่งจะนอนก็ฟินกันล่ะทีนี้
ขอบคุณข่าวจาก