ศาลปค.สูงสุด คืนสิทธิ หนุ่มมีรอยสักสมัครเป็นตำรวจได้
ศาลปกครองสูงสุด พิพากษา กรณีการใช้ดุลพินิจของคณะแพทย์รพ.ตำรวจ โดยเห็นว่ารอยสักบนร่างกายของผู้ฟ้องคดีมีขนาดไม่ใหญ่มาก ไม่เป็นที่เปิดเผยเมื่อสวมใส่เสื้อผ้า และไม่เป็นอุปสรรคขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่

วันที่ 6 กันยายน ศาลปกครองสูงสุด มีคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด คดีหมายเลขแดงที่ อ.431/2559 กรณีที่ศาลวินิจฉัยเกี่ยวกับการใช้ดุลพินิจของคณะแพทย์จากโรงพยาบาลตำรวจ โดยเห็นว่ารอยสักบนร่างกายของผู้ฟ้องคดีมีขนาดไม่ใหญ่มาก ไม่เป็นที่เปิดเผยเมื่อสวมใส่เสื้อผ้า และไม่เป็นอุปสรรคขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ ผู้ฟ้องคดีจึงไม่มีลักษณะต้องห้ามในการสอบแข่งขันเข้ารับราชการเป็นข้าราชการตำรวจ
ทั้งนี้คดีดังกล่าว ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาแก้คำสั่งศาลปกครองกลาง เป็นให้เพิกถอนการประกาศรายชื่อผู้ได้รับคัดเลือกในการรับสมัครและคัดเลือกบุคคลภายนอกฯ เพื่อบรรจุเป็นนักเรียนนายสิบตำรวจเมื่อปี 2555 เฉพาะส่วนของนายดำรงศักดิ์ หรือณรงค์ โพธิษา ผู้ฟ้องคดี ที่ไม่ผ่านกาารตรวจร่างกายโดยให้มีผลย้อนหลังจนถึงวันที่ออกคำสั่ง ให้ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3คืนสิทธิ ในฐานะผู้สอบผ่านข้อเขียนและผ่านการตรวจร่างกายแล้ว และให้นายดำรงศักดิ์สอบสัมภาษณ์
สำหรับคดีนี้ นายดำรงศักดิ์ หรือณรงค์ โพธิษา ผู้ฟ้องคดี ฟ้องผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 หลังผ่านการสอบข้อเขียน แต่เมื่อเข้าตรวจร่างกายได้รับการแจ้งผลไม่ผ่านการตรวจร่างกาย เพราะมีรอยสักที่ขัดต่อหลักเกณฑ์ ทั้งนี้นายดำรงศักดิ์ได้ลบรอยสักแล้ว แต่ยังเป็นรอยแผลอยู่ หากไม่เพ่งมองระยะใกล้ก็จะไม่สามารถสังเกตุเห็นได้
อย่างไรก็ตาม ศาลปกครองสูงสุด ระบุในคำพิพากษา มาตรา 48 ของพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ 2547 ที่บัญญัติลักษณะต้องห้าม ตาม (13) ไม่เป็นผู้มีแผลเป็น ปาย รอยสัก หูด หรือชีสต์ที่ส่วนต่างๆของร่างกาย มีขนาดใหญ่หรือมากจนแลดูน่าเกลียด ศาลฯ เห็นว่า รอยสักขนาดไม่ใหญ่มากเป็นรอยในร่มผ้า ไม่เป็นที่เปิดเผย สวมเครื่องแบบแล้วจะไม่สามารถมองเห็นได้

หมายเหตุ : ภาพประกอบข่าวไม่ใช่ภาพผู้ฟ้องคดี
