เมื่อตำรวจละเมิดสิทธิมนุษยชน
การที่ตำรวจเอาตัวผู้ต้องหาไปแถลงข่าวนั้นไม่ต่างอะไรกับการพิพากษาลงโทษผู้ต้องหาก่อนที่จะถึงศาล และเป็นการปรักปรำฝ่ายเดียวโดยผู้ต้องหาไม่มีโอกาสที่จะต่อสู้คัดค้าน ไม่มีทนายความ และแม้ผู้ต้องหาจะรับสารภาพ แต่ก็เป็นการรับสารภาพนอกศาลที่จะนำไปใช้ในการพิจารณาคดีไม่ได้

เมื่อวันที่ 3 กันยายนนี้ นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติ ธรรมได้ลงข้อความในหน้าของตนในเฟซบุ๊กว่า กระทรวงยุติธรรมได้มีหนัง สือด่วนที่สุดรายงานสถานการณ์ละเมิดสิทธิเสรีภาพและสิทธิมนุษยชนในประเทศในช่วงวันที่ 23 ถึงวันที่ 29 กรกฎาคม 2559 ให้รัฐมนตรีว่าการกระ ทรวงยุติธรรมทราบตามคำสั่งของรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวง ยุติธรรมได้สั่งให้รายงานสถานการณ์ดังกล่าวนายกรัฐมนตรีทราบทุก สัปดาห์
หลังจากที่ได้เสนอรายงานสถานการณ์ดังกล่าวต่อนายกรัฐมนตรีโดยผ่านสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีแล้ว นายกรัฐมนตรีได้มีบัญชาให้แจ้ง รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและสำนักงานตำรวจแห่งชาติทราบว่า ในการแถลงข่าวการจับกุมของตำรวจนั้น ให้แถลงแต่ผลการดำเนินงานเท่านั้น ไม่ต้องนำตัวผู้ต้องหาออกไปในการแถลงข่าวด้วยเพราะเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน และถ้าหากปรากฏว่าผู้ต้องหามิได้กระทำความผิดหรือกระทำผิดจริง แต่พ้นโทษตามคำพิพากษาแล้ว ก็จะทำให้เขา “ไม่มีพื้นที่ยืนในสังคม” และต้องหวนกลับไปกระทำความผิดซ้ำอีก
เรื่องตำรวจนำผู้ต้องหาไปแสดงตัวในการแถลงข่าวนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า ตำรวจนำตัวผู้ต้องหาที่จับได้ไปปรากฏตัวในการแถลงข่าว
โดยมีนายตำรวจทั้งน้อยและใหญ่ยืนเข้าแถวอยู่เบื้องหลัังเหมือนเป็นลูกคู่ในการแสดงลำตัด นายตำรวจผู้ใหญ่ (ซึ่งไม่ใช่ผู้สืบสวนจับกุม) ซักถามผู้ต้องหา และมัก เป็นการชักนำ ในขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสให้ผู้สื่อข่าวซักด้วยเสมือนเป็น การรุมกล่าวหาเพื่อให้ผู้ต้องหาตอบรับสารภาพ
การเอาตัวผู้ต้องหาไปแถลงข่าวนี้เป็นสิ่งที่ไม่น่าจะให้ต้องคอยจนนายกรัฐมนตรีต้องลงมาสั่งห้าม นายตำรวจทุกชั้นทุกระดับน่าจะรู้อยู่แล้วว่า หลักกฎหมายอาญาทั่วโลกให้ถือว่า ผู้ต้องหาเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีการพิสูจน์ว่าได้กระทำความผิด แม้ในรัฐธรรมนูญฉบับต่างๆของประเทศไทย ก็บัญญัติเช่นนั้น รัฐธรรมนูญฉบับปี 2559 ที่เพิ่งจะผ่านประชามติก็บัญญัติ ไว้ชัดเจนในมาตรา 29 ว่าในคดีอาญาให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือ จำเลยไม่มีความผิดและก่อนมีคำพิพากษาอันถึงที่สุดแสดงว่าบุคคลใดได้ กระทำความผิดจะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นเสมือนเป็นผู้กระทำความ ผิดมิได้
การที่ตำรวจเอาตัวผู้ต้องหาไปแถลงข่าวนั้นไม่ต่างอะไรกับการพิพากษาลงโทษผู้ต้องหาก่อนที่จะถึงศาล และเป็นการปรักปรำฝ่ายเดียวโดยผู้ต้องหาไม่มีโอกาสที่จะต่อสู้คัดค้าน ไม่มีทนายความ และแม้ผู้ต้องหาจะรับสารภาพ แต่ก็เป็นการรับสารภาพนอกศาลที่จะนำไปใช้ในการพิจารณาคดีไม่ได้ และเมื่อไปถึงศาลแล้วจำเลยก็ยังอาจจะให้การปฏิเสธได้เสมอ
การละเมิดสิทธิ์ของผู้ต้องหานี้ในต่างประเทศเช่นสหรัฐอเมริกาถือ เป็นเรื่องสำคัญ และถ้าปรากฏว่าตำรวจละเมิดสิทธิ์ของผู้ต้องหาในทำนอง นี้ ศาลจะสั่งปล่อยตัวผู้ต้องหาทันที
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแสดงว่านายตำรวจตั้งแต่ระดับสูงลงมาไม่มีความรู้ความเข้าใจสิทธิมนุษยชน และไม่มีความรู้เรื่องกฎหมายเพียงพอ จึงละเมิด ทั้งสิทธิมนุษยชนและกฎหมายอย่างเปิดเผยและโจ่งครึ่ม
ขณะที่กำลังมีการปฏิรูปตำรวจอยู่นี้ สมควรที่จะนำเรื่องนี้ไปพิจารณา แก้ไขและปฏิรูปอีกเรื่องหนึ่งด้วย.
ขอบคุณภาพจาก : www.phitsanulokhotnews.com
