แม่ไร้สัญชาติเคว้ง ออกนอกพื้นที่ให้นมลูก3ขวบไม่ได้ ต้องรอยื่นขอ นอภ.
การตีความกฎหมายให้เป็นโทษแก่มนุษย์นั้นจึงไม่มีประโยชน์ต่อใครเลย โดยเฉพาะการตีความเป็นโทษอันทำไปสู่การทำลายสิทธิมนุษยชนของคนไร้สัญชาติที่เกิดในประเทศไทยอีกด้วย ควรแล้วหรือที่ฝ่ายบริหารกรมการปกครองและกระทรวงมหาดไทย ตลอดจนสภาความมั่นคงแห่งชาติจะนิ่งเงียบต่อเสียงร้องไห้ของ "คุณแม่จารุณี" และ "น้องนาวา"

หมายเหตุ : บทความ แม่ไร้สัญชาติเคว้ง ออกนอกพื้นที่ให้นมลูก3ขวบไม่ได้ ต้องรอยื่นขอ นอภ. โดย รศ.ดร.พันธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร งานเขียนเพื่อความเห็นทางกฎหมายต่อคำร้องทุกข์ของนางสาวจารุณี เพิ่มพร ต่อสาธารณชน
----
ผู้ร้องทุกข์ : "จารุณี เพิ่มพร" เป็นลูกสาวของครอบครัวเล็กๆ ที่อาศัยอยู่ที่อำเภอเมืองตาก เธอมีพี่ชาย 1 คน และน้องชาย 1 คน ทั้งครอบครัวตกหล่นจากทะเบียนราษฎรของทุกรัฐบนโลกมาเป็นเวลายาวนาน จนถึง พ.ศ.2558เธอจึงได้รับการบันทึกชื่อในทะเบียนประวัติตามกฎหมายไทยว่าด้วยการทะเบียนราษฎรประเภทบุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียน (ท.ร.38 ก)

เธอมีพยานบุคคลที่น่าเชื่อถือได้ว่า เธอเกิดในประเทศไทยเมื่อ พ.ศ.2528 ดังนั้น เธอจึงน่าจะทรงสิทธิในสัญชาติไทยโดยหลักดินแดนโดยการเกิดโดยผลของมาตรา ๒๓ แห่ง พ.ร.บ.สัญชาติ (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2551 แม้เธอจะร้องขอทำหนังสือรับรองการเกิดตามมาตรา 20/1 แห่ง พ.ร.บ.การทะเบียนราษฎร พ.ศ.2534 ซึ่งแก้ไขและเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.การทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2551 มาเป็นปีแล้ว ปลัดอำเภอได้บอกเธอว่า จะติดต่อกลับเพื่อดำเนินการตามกฎหมายนี้ให้เสร็จ แต่เธอก็ยังไม่ได้รับการติดต่อกลับจนถึงวันนี้
ทุกขภาวะที่เกิดขึ้น
ในวันนี้ เธอจึงเป็นเพียงคนถือบัตรประจำตัวบุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียน หรือที่เรียกกันว่า "บัตรเลข 0" ซึ่งมีเลขประจำตัว 13 หลักขึ้นต้นด้วย 0 และตรงกลาง ก็คือ 00 อันทำให้เธอได้รับผลร้ายจากการตีความแบบแคบของกรมการปกครอง ซึ่งส่งผลให้เธอไม่อาจใช้สิทธิขออนุญาตเดินทางออกนอกพื้นที่เพื่อไปอาศัยอยู่กับสามีและบุตรชายอายุ 3 ขวบที่กทม
สำหรับ "น้องนาวา" ซึ่งยังต้องดูดนมจากแม่ เรื่องราวนี้ส่งผลถึงน้องตัวน้อย ซึ่งไม่ตกเป็นคนไร้สัญชาติตามคุณแม่ ด้วยว่า คุณพ่อถือบัตรประชาชนที่แสดงสิทธิในสัญชาติไทย
จารุณีอยากดำเนินชีวิตอย่างถูกกฎหมาย ในทันทีที่ทราบว่า กรมการปกครองมีการตีความปฏิเสธสิทธิของเธอที่จะอาศัยนอกพื้นที่กับครอบครัว เธอจึงตัดสินใจเดินทางกลับอำเภอเมืองตาก เพื่อดำเนินการขออนุญาตออกนอกพื้นที่ให้ถูกต้อง ทิ้งสามีและบุตรชายตัวน้อยให้ดูแลกันเอง ความเป็นคนที่ทำถูกกฎหมายดูจะเป็นสิ่งสำคัญสำหรับจารุณีที่เริ่มต้นเรียนกฎหมายเพื่อจัดการปัญหาความไร้รัฐไร้สัญชาติที่คุกคามครอบครัวของเธออย่างรุนแรงตลอดมา
เมื่อวานนี้ (19/9/2559) และวันนี้ (20/9/2559) เธอพยายามติดต่อหารือกับพนักงานเจ้าหน้าที่ในอำเภอเมืองจังหวัดตาก เพื่อยื่นคำขอออกนอกพื้นที่เพื่อไปดูแลบุตรน้อยตามหน้าที่ของมารดา แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ เจ้าหน้าที่ที่ควรดูแลเธอไม่อยู่ ผู้บังคับบัญชาก็บอกว่า ไม่อาจช่วยอะไรได้
ความเป็นไปได้ทางกฎหมายเพื่อจัดการทุกขภาวะที่เกิดขึ้น
เราซึ่งเป็นนักวิชาการกฎหมาย ซึ่งต้องรับรู้เรื่องของเธอ ด้วยว่า เธอร้องทุกข์เข้ามา ก็พยายามที่จะอธิบายความเป็นไปได้ทางกฎหมายที่จะรับรองสิทธิก่อตั้งครอบครัวของคุณแม่ไร้สัญชาติ ดังจารุณี เราพบว่า มีความเป็นไปได้ในระบบกฎหมายไทยและระบบกฎหมายระหว่างประเทศที่ผูกพันประเทศไทย ที่นายอำเภอเมืองตากจะรับรองสิทธิเดินทางออกนอกพื้นที่ของคุณจารุณีเพื่ออาศัยอยู่กับครอบครัวของเธอ ในทางตรงข้าม การตีความกฎหมายไทยว่าด้วยคนเข้าเมืองในลักษณะที่ทำลายสิทธิมนุษยชนของแม่และบุตรกลับเป็นสิ่งที่ทำให้นายอำเภอและประเทศไทยตกเป็นผู้ละเมิดทั้งกฎหมายไทยและกฎหมายระหว่างประเทศ
เราในฐานะคนทำงานวิชาการด้านกฎหมาย ก็ได้เสนอให้ปลัดอำเภอที่รับผิดชอบรับคำขออกนอกพื้นที่ของคุณจารุณี และหารือนายอำเภอเมืองตากเพื่ออนุญาต ซึ่งมีบทบัญญัติแห่งกฎหมายไทยให้ทำได้หลายช่องทาง และหากนายอำเภอเมืองตากไม่กล้าอนุญาตคำขอ ก็อาจหารือการอนุญาตไปยังอธิบดีกรมการปกครองหรือปลัดกระทรวงมหาดไทย รวมถึงนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งรักษาการตามกฎหมายคนเข้าเมืองถึงความชอบด้วยกฎหมายที่จะอนุญาตให้มารดาไร้สัญชาติออกนอกพื้นฐานเพื่อเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ ซึ่งยังไม่หย่านมมารดา หรือแม้การหารือขอความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาก็เป็นประเพณีปฏิบัติที่กรมการปกครองก็ทำ ในกรณีที่ฝ่ายความมั่นคงสายเหยี่ยวกดดันให้ต้องมีการกระทำที่ขัดต่อหลักกฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล หรือหลักกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิมนุษยชน
ในสถานการณ์ของวันนี้ เราพบว่า ผู้รักษาการตามกฎหมายในระดับอำเภอไม่ยอมที่จะเปิดพื้นที่หารือกับคุณจารุณีเจ้าของปัญหา และเราซึ่งเป็นผู้สนับสนุนเจ้าของปัญหา จึงเหลือสิ่งเดียวที่เราคนในมหาวิทยาลัยทำได้ ก็คือ การส่งต่อเรื่องของคุณจารุณีไปยังฝ่ายที่ดูแลกระบวนการยุติธรรมในประเทศไทย ......ซึ่งอาจจะเป็นเหล่าสื่อเพื่อสิทธิมนุษยชน และเหล่าทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ซึ่งที่เป็นทนายความตีนเปล่า หรือทนายความวิชาชีพ หรือสภาทนายความ
เป็นสิ่งที่โล่งใจนิดหน่อยที่เกิดขึ้นในช่วงบ่าย มีทนายความทั้งตีนเปล่าและวิชาชีพเสนอตัวขึ้นมารับงานต่อแล้ว ครูกฎหมายผู้เฒ่าจึงสบายใจขึ้น
กระบวนการประสานงานด้านรัฐศาสตร์ก็ได้ทำแล้ว ในรอบอาทิตย์ที่ผ่านมาจนถึงเมื่อเช้านี้ ต่อจากนี้ไป คงเป็นเรื่องของฝ่ายนิติศาสตร์สายปฏิบัติ จะต้องมาดูแลแทนฝ่ายวิชาการ
บทสรุปทางความคิด
เรื่องของจารุณี คงมิใช่เรื่องของคนๆ เดียว แต่น่าจะเป็นเรื่องของคนที่ถือเลข 0-00 อีกหลายคนที่มีความจำเป็นที่จะต้องออกมาจากพื้นที่ที่ทำทะเบียนราษฎรประเภทบุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียน (ท.ร.38 ก) กรณีที่เกิดขึ้นแล้วและอาจเกิดขึ้นต่อไป อาจจะเป็นการออกมาทำงาน หรือออกมาเรียนหนังสือ หรือออกมารักษาพยาบาล หรือออกมาอยู่กับครอบครัว เรื่องของสิทธิมนุษยชนเป็นเรื่องที่ผูกพันประเทศไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เราคงตระหนักว่า การถูกบอยคอตจากต่างประเทศในหลายลักษณะ ก็เป็นบทเรียนอันดีสำหรับประเทศไทย และฝ่ายความมั่นคงของประเทศไทยอยู่แล้ว
การตีความกฎหมายให้เป็นโทษแก่มนุษย์นั้นจึงไม่มีประโยชน์ต่อใครเลย โดยเฉพาะการตีความเป็นโทษอันทำไปสู่การทำลายสิทธิมนุษยชนของคนไร้สัญชาติที่เกิดในประเทศไทยอีกด้วย ควรแล้วหรือที่ฝ่ายบริหารกรมการปกครองและกระทรวงมหาดไทย ตลอดจนสภาความมั่นคงแห่งชาติจะนิ่งเงียบต่อเสียงร้องไห้ของ "คุณแม่จารุณี" และ "น้องนาวา"
ขอให้รีบจัดการเรื่องเล็กๆ อันนี้กันเถอะค่ะ การรับรองสิทธิในการอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัวของมารดาไร้สัญชาติและบุตรน้อยสัญชาติไทยไม่น่าจะกระทบความมั่นคงของประเทศไทย

