ไม่เร่งแก้จ่ายใต้โต๊ะ “หอการค้าไทย” หวั่นงบฟื้นฟูน้ำท่วมสูญ 1 ล้านล้าน
อธิการบดี ม.หอการค้าไทย เผย สถานการณ์คอร์รัปชั่นไทยมีแนวโน้มดีขึ้น ได้คะแนน 3.6 ในสายตาประชาชน ด้าน “ดร.ธนวรรธน์” ชี้ งบฯ ลงทุนฟื้นฟูน้ำท่วม 3 ล้านล้านบาท เสี่ยงถูกโกง คาดเสียหาย 1 ล้านล้านบาท กระทบเศรษฐกิจในช่วง 10 ปี
วันที่ 17 ธันวาคม หอการค้าไทย ร่วมกับภาคีเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชั่น และมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย แถลงข่าวเรื่อง “ดัชนีสถานการณ์คอร์รัปชั่นไทย ( Corruption Situation Index : CSI )” ณ ห้องประชุมหอการค้าไทย ถนนราชบพิธ กรุงเทพฯ
รศ.ดร.เสาวณีย์ ไทยรุ่งโรจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า จากการสำรวจกลุ่มเป้าหมาย ประกอบด้วย ประชาชน ข้าราชการ และผู้ประกอบการ ภาคเอกชน จำนวน 2,400 ตัวอย่าง พบว่า ดัชนีสถานการณ์คอร์รัปชั่นไทย ประจำเดือนธันวาคม 2554 มีคะแนนอยู่ที่ 3.6 เพิ่มขึ้นจากคะแนน 3.4 ในเดือนมิถุนายน 2554
ขณะที่หากพิจารณาสถานการณ์คอร์รัปชั่นออกเป็นรายกรณี จะพบว่า ปัญหาและความรุนแรงของการคอร์รัปชั่น มีแนวโน้มที่ดีขึ้น เช่นเดียวกับการปราบปราม และการสร้างจริยธรรม จิตสำนึกในการต่อต้านคอร์รัปชั่น แต่ในส่วนของการป้องกันการคอร์รัปชั่นกลับลดลง เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดือนมิถุนายน 2554
รศ.ดร.เสาวณีย์ กล่าวถึงผลกระทบของการทุจริตคอร์รัปชั่นต่อการดำเนินการธุรกิจ ว่า ทำให้ผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจกับภาครัฐต้องจ่ายเงินเพิ่มพิเศษแก่ข้าราชการ นักการเมืองที่ทุจริต เพื่อให้ได้สัญญาถึง 82.1% โดยในปี 2554 มีผู้ประกอบการที่ต้องจ่ายเงินพิเศษมากกว่า 25% ของรายรับถึง 29.5%
“ผู้ประกอบการประมาณการว่า มูลค่าการทุจริตคอร์รัปชั่นมีวงเงิน 25-30% ของงบประมาณปี 2554 จำนวน 2,070,000 ล้านบาท ซึ่งหากมีอัตราการคอร์รัปชั่นอยู่ที่ 25% รัฐจะสูญเสียงบประมาณ 172,920 ล้านบาท คิดเป็น 1.62% ต่อจีดีพี ขณะที่หากมีการคอร์รัปชั่นในอัตราอยู่ที่ 30% รัฐจะสูญเสียงบ 227,616 ล้านบาท คิดเป็น 2.13% ต่อจีดีพี ทั้งนี้ งบดังกล่าวฯ ถูกเบียดบัง เพื่อจ่ายให้กับคนทุจริต”
ส่วนโครงการและมาตรการฟื้นฟูหลังน้ำท่วม มีโอกาสเกิดการคอร์รัปชั่นหรือไม่นั้น รศ.ดร.เสาวณีย์ กล่าวว่า ประชาชนจำนวน 24.9% เห็นว่า มีโอกาสมากที่สุดที่จะเกิดการคอร์รัปชั่น ส่วนที่เห็นว่าโครงการต่างๆ จะไม่พัวพันต่อการคอร์รัปชั่นมีโอกาสแทบจะเป็นศูนย์ ขณะที่กิจกรรมภาครัฐที่จะเกิดการคอร์รัปชั่นมากที่สุดคือ มาตรการที่เกี่ยวกับการซ่อมและสร้างต่างๆ อาทิ ถนน สะพาน รองลงมาคือ การจัดซื้ออุปกรณ์ของภาครัฐสำหรับวิธีการแก้ปัญหาคอร์รัปชั่น
รศ.ดร.เสาวณีย์ กล่าวว่า ผลสำรวจระบุว่ารัฐบาลควรดำเนินการแสดงรายละเอียดโครงการต่างๆ แสดงการประมูลจัดซื้อจัดจ้าง แต่ละประเภทให้สาธารณชนได้มีโอกาสรับทราบและตรวจสอบ รวมถึงรายงานผลการตรวจสอบ โดยผู้ตรวจสอบจากภายนอกให้สาธารณชนได้รับทราบ เพื่อสร้างความเชื่อมั่น นอกจากนี้ต้องมีการลงโทษอย่างเคร่งครัด ปลูกฝังค่านิยมที่ดีให้แก่เยาวชน เผยแพร่เรื่องราวของผู้กระทำความผิด รณรงค์ผ่านสื่อ เป็นต้นทั้งนี้ หากจะแก้ปัญหาคอร์รัปชั่นได้ ประชาชนส่วนใหญ่เห็นว่า หน่วยงานภาครัฐควรเป็นคนเริ่มต้นก่อน
ทั้งนี้ รศ.ดร.เสาวณีย์ กล่าวด้วยว่า จากการสำรวจก่อนหน้านี้พบว่า องค์กรที่ภาพลักษณ์เชิงลบในเรื่องการคอร์รัปชั่น ได้แก่ ตำรวจ นักการเมืองระดับท้องถิ่น กรมศุลกากร กรมสรรพมิตร ที่ดิน และหากวัดจากความถี่ในการจ่าย ได้แก่ ตำรวจ ส่วนหากวัดจากวงเงินการทุจริต ได้แก่ นักการเมือง
จากถุงยังชีพถึงงบฯ ฟื้นฟู ปชช.หวั่นเกิดทุจริต
ขณะที่ผศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย รองอธิการบดีฝ่ายวิจัย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า สถานการณ์ดัชนีคอร์รัปชั่นไทยว่า มีการปรับตัวดีขึ้น แต่ยังพบว่าการสร้างกระบวนการป้องกันยังทำได้ไม่เพียงพอ การสร้างเครือข่ายในการต่อต้านการคอร์รัปชั่นจึงเป็นความหวังของคนส่วนใหญ่
ผศ.ดร.ธนวรรธน์ กล่าวต่อว่า ในช่วงสถานการณ์น้ำท่วมผู้คนมีความกังวลเรื่องการทุจริตถุงยังชีพ แต่หลังจากน้ำลด ผู้คนมีความกังวลเรื่องการใช้งบประมาณ เม็ดเงินลงทุนฟื้นฟูน้ำท่วม 3.5 แสนล้านบาท การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานวงเงิน 2.27 ล้านล้านบาท ซึ่งร่วมกับเงินลงทุนของภาครัฐและรัฐวิสาหกิจอื่น วงเงินในการพัฒนาจะสูงถึง 3 ล้านล้านบาท
“หากโครงสร้างการจ่ายเงินพิเศษของผู้ประกอบการ 25%-30% ไม่ได้มีแนวโน้มลดลง มูลค่าความเสียหายที่จะเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจ ในช่วง 5-10 ปีข้างหน้า จากการใช้เงิน 3 ล้านล้านบาท จะมีความเสียหายประมาณ 800,000-1,000,000 ล้านบาท คิดเป็น 10% จีดีพี” ผศ.ดร.ธนวรรธน์ กล่าว และว่า ความรั่วไหลจากการคอร์รัปชั่น ส่งผลให้เกิดความสูญเสียของคุณภาพงาน และขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยถูกบั่นทอน ดังนั้น ปัญหาคอร์รัปชั่นจึงเป็นปัญหาสำคัญที่ต้องขจัด และภาครัฐต้องต้องดำเนินการอย่างจริงจัง
อย่างไรก็ตาม ผศ.ดร.ธนวรรธน์ กล่าวด้วยว่า แม้สถานการณ์คอร์รัปชั่นในประเทศไทยจะเป็นรองประเทศสิงค์โปร์ มาเลเซีย และอินโดนีเชีย แต่ก็นับว่าสถานการณ์คอร์รัปชั่นในบ้านเรามีแนวโน้มที่ดีขึ้น
ด้านนายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานคณะกรรมการภาคีเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชั่น กล่าวถึงการดำเนินการของภาคีเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชั่นว่า ในส่วนของการต่อต้านและปราบปราม ได้มีการเปิดรับข้อร้องเรียนและเบาะแสการคอร์รัปชั่น ขณะเดียวกันได้มีการติดตามเฝ้าระวังการคอร์รัปชั่น ผ่านโครงการตาสับปะรด ซึ่งจะเปิดให้คนผู้ที่มีจิตอาสาเข้ามามีส่วนร่วมในการเฝ้าระวังการคอร์รัปชั่น
นายประมนต์ กล่าวถึงกฎหมายที่จะเข้ามาช่วยในการป้องกันการคอร์รัปชั่นว่า ขณะนี้ได้มีการออกกฎหมายให้ผู้ที่ประมูลงานภาครัฐต้องเปิดเผยบัญชีรายรับรายจ่าย ซึ่งคาดหวังว่าจะทำให้ผู้ประกอบการเกรงต่อการให้ไปสินบนมากขึ้น แม้กฎหมายดังกล่าวจะมีช่องโหว่อยู่บ้างก็ตาม ขณะเดียวกันก็มีข้อกำหนดให้เปิดเผยราคากลางของภาครัฐ ซึ่งทางภาคีฯ จะมอบหมายให้ผู้ที่มีความรู้เข้าไปตรวจสอบว่า ราคากลางที่ภาครัฐการกำหนดมีความเหมาะสมหรือไม่ ทั้งนี้ เชื่อว่าขบวนการดังกล่าวจะก่อให้เกิดความโปร่งใสมากขึ้น เพราะที่ผ่านมาเมื่อนักธุรกิจไปติดต่อกับหน่วยงานภาครัฐ ไม่ว่าเป็นเรื่องง่ายๆ ซึ่งเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่อยู่แล้ว ก็ยังต้องจ่ายเงินรายทาง
