อ.เศรษศาสตร์ มธ.ฉะรัฐออกพ.ร.ก. โอนหนี้ฯ ปัดสวะ ยังไม่แก้ที่ต้นตอ
คปก.จัดเวทีรับฟังความคิดเห็น ต่อร่าง พ.ร.ก. 4 ฉบับ ส่วนใหญ่เห็นตรงกัน มองร่าง พ.ร.ก. โอนหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ ยังไม่จำเป็นเร่งด่วน แถมสางปัญหาหนี้เจ็ดชั่วโคตรก้อนใหญ่ของประเทศไม่ได้
วันที่ 18 มกราคม คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (คปก.) จัดเวทีรับฟังความคิดเห็น (Focus Group ) ต่อร่างพระราชกำหนดที่คณะรัฐมนตรีเสนอให้ความเห็นชอบในหลักการ จำนวน 4 ฉบับ ประกอบด้วย 1.ร่างพระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ได้รับอุทกภัย พ.ศ….. 2.ร่างพระราชกำหนดปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้ ที่กระทรวงการคลังกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน พ.ศ….. 3.ร่างพระราชกำหนดให้กระทรวงการคลังกู้เงิน วงเงิน 350,000 ล้านบาท เพื่อฟื้นฟูประเทศ หลังประสบอุทกภัย และ 4.ร่างพระราชกำหนดการจัดตั้งกองทุนประกันภัยให้ผู้ประกอบการที่ลงทุนในประเทศ วงเงิน 50,000 ล้านบาท และกระทรวงการคลังค้ำประกันอีก 200,000 ล้านบาท จากนักวิชาการ และผู้ทรงคุณวุฒิ ณ ห้องกัลปพฤกษ์ 2 โรงแรมทีเค พาเลซ ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ
รศ.ดร.บรรเจิด สิงคเนติ กรรมการปฏิรูปกฎหมาย กล่าวถึงการตราพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) นั้น เป็นไปตามมาตรา 184 ในรัฐธรรมนูญ 2550 ที่ระบุว่า ในกรณีเพื่อประโยชน์ในอันที่จะรักษาความปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือป้องปัดภัยพิบัติสาธารณะ พระมหากษัตริย์จะทรงตราพระราชกำหนดให้ใช้บังคับ ดังเช่นพระราชบัญญัติได้
การตราพระราชกำหนดตามวรรคหนึ่ง ให้กระทำได้เฉพาะเมื่อคณะรัฐมนตรีเห็นว่า เป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วน อันมิอาจจะหลีกเลี่ยงได้ ขณะที่ มาตรา 185 ก็เปิดโอกาสให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 1 ใน 5 สามารถเข้าชื่อเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้ ในประเด็นกฎหมายสำคัญ จึงมีคำถาม พ.ร.ก.ทั้ง 4 ฉบับ เป็นความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศหรือไม่ และเป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นเร่งด่วนอันมิอาจจะหลีกเลี่ยงได้หรือไม่
รองผอ.สบน.ยัน พ.ร.ก. 4 ฉบับ จำเป็นเร่งด่วน
นายทวี ไอศูนย์พิศาลศิริ รองผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ กล่าวชี้แจงถึงความจำเป็นเร่งด่วนของการร่างพ.ร.ก.ทั้ง 4 ฉบับ ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของการทูลเกล้าฯ เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย ฉบับแรกพ.ร.ก. ปรับปรุงการบริหารหนี้ฯ นั้น รัฐบาลมีความจำเป็นต้องการใช้เงินงบประมาณบางส่วน และต้องการประหยัดร่ายจ่ายด้านดอกเบี้ย อีกทั้งไม่แตะต้องเงินสำรองฯในส่วนของหลวงตามหาบัว
“ขณะที่ ร่าง พ.ร.ก.ให้กระทรวงการคลังกู้เงิน เพื่อฟื้นฟูประเทศ จากอุทกภัย ก็เหตุที่ใกล้ฤดูฝน โดยหากจะกู้เงินตามพ.ร.บ.หนี้สาธารณะ ก็ไม่สามารถดำเนินการได้ ด้วยมีข้อจำกัดทางด้านกฎหมาย หรือจะกู้เงินจากต่างประเทศก็ต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า ปีครึ่ง ขณะเดียวกันกู้เงินในประเทศ ก็ติดพ.ร.บ.หนี้สาธารณะ” รองผอ.สบน.กล่าว และว่า ส่วนร่าง พ.ร.ก.การจัดตั้งกองทุนประกันภัยภัยฯ เหตุที่ไม่มีบริษัทประกันต่างชาติรับประกันภัยต่อ ดังนั้นการรอเป็นกฎหมายอาจเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจได้ สุดท้ายร่างพ.ร.ก.ให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ได้รับอุทกภัย นั้น เนื่องจากผู้เสียหายต้องการฟื้นฟูเยียวยาโดยเร็ว การออกเป็นกฎหมายช้าเกินแก่ความต้องการของเอกชน อีกทั้งไม่เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจ
พ.ร.ก.โอนหนี้ฯ มองไม่เห็นความยืดหยุ่น
ดร.ธวัชชัย ยงกิตติกุล เลขาธิการสมาคมธนาคารไทย กล่าวถึงหนี้กองทุนฟื้นฟู 1.14 ล้านล้านบาท ธนาคารพาณิชย์เห็นด้วยหนี้ก้อนนี้ต้องมีการแก้ไข และต้องมีการจับเข่าคุยกัน เพราะเป็นเรื่องใหญ่มาก ตามกฎหมายของสถาบันคุ้มครองเงินฝาก สามารถเก็บจากเงินฝากได้ถึง 1% แต่เมื่อมานั่งคิด 1% ก็ตกปีละ 7 หมื่นล้านบาท ขณะที่กระทรวงการคลังต้องตั้งงบฯ เพื่อชำระดอกเบี้ย 6 หมื่นล้านบาท ทำให้สามารถชำระเงินต้นได้ปีละ 1 หมื่นล้านบาทเท่านั้น
“ลองคำนวณกี่ชาติถึงจะหมด ดังนั้นถึงเวลาต้องนั่งคุยกัน แต่หากต่างคนต่างคิดแล้วมาลงที่ธนาคารพาณิชย์หมด ต้องรับผิดชอบ ผมยิ่งโกรธใหญ่”เลขาธิการสมาคมธนาคารไทย กล่าว พร้อมแจกแจงที่มาหนี้กองทุนฟื้นฟู 1.14 ล้านล้านบาท เป็นเงินที่ชำระเงินคืนผู้ฝากของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ (บง.) 5 แสนกว่าล้านบาท และนำเงินมาช่วยเพิ่มทุนของธนาคาร 9 แห่ง 3.5 แสนล้านบาท ดังนั้น การมาบอกความเสียหาย 1.14 ล้านล้านบาท ผู้ได้รับประโยชน์จากเงินก้อนนี้ คือ ธนาคารพาณิชย์ ธนาคารพาณิชย์ต้องรับผิดชอบ ตนเห็นว่า ไม่ยุติธรรมอย่างยิ่ง เพราะสถาบันการเงินหลายแห่งวิ่งหาทุนเองทั้งสิ้น จนกระทั่งในที่สุดขายต่างชาติ ไม่มีธนาคารใดเดินเข้าไปขอความช่วยเหลือกองทุนฟื้นฟูฯ เพราะไม่อยากถูกตราหน้า
ดร.ธวัชชัย กล่าวด้วยว่า หนี้กองทุนฟื้นฟู เป็นเรื่องที่สามารถนำมาคุยกันได้ แต่การออก พ.ร.ก.โอนหนี้ฯ ยังมองไม่เห็นความยืดหยุ่น เพราะปัญหาติดอยู่นิดเดียวคือการชำระดอกเบี้ยปีละกว่า 6 หมื่นล้านบาทที่ไม่ต้องการรับผิดชอบต่อไป ทั้งนี้ หนี้ก้อนโตนี้สามารถแก้ได้ เช่น สินทรัพย์ที่กองทุนฟื้นฟูฯ ไปยึดมา จากบริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท หรือแซม และบริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (บสก.) หรือแบม แม้แต่หุ้นกรุงไทย ขายออกจะได้เงินหลายแสนล้านบาท เป็นต้น
หนุนหนี้ 1.14 ล้านล้านต้องจัดการ -ค้านวิธีการ
ขณะที่ ศ.ดร.พลายพล คุ้มทรัพย์ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงพ.ร.ก.โอนนี้ 1.14 ล้านล้านบาท นับเป็นเรื่องยาวอีกเรื่องหนึ่ง 10 กว่าปี ใช้หนี้คืนได้แค่ 3 แสนล้านบาท ถือเป็นเปอร์เซ็นต์ที่น้อยมาก และแม้จะเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้วที่หนี้ก้อนนี้ต้องมีการจัดการ แต่กับวิธีการยังไม่เห็นด้วย เพราะยังไม่ได้เป็นเรื่องเร่งด่วนพอ อีกทั้งความรอบคอบการปรึกษาหารือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ก็ยังไม่มากพอ
“พ.ร.ก.โอนนี้ ไม่แก้ปัญหา ไม่สามารถลดเงินต้นมหาศาลลงได้ เงินต่างๆ ที่พูดถึงไม่ว่าจะเก็บจากแบงก์ หรือโยนให้กองทุนฟื้นฟูฯ ก็ไม่ได้มากมาย อย่างมากได้แค่ยาไส้ แค่ดอกเบี้ยเท่านั้นเอง เงินต้นไม่ลด ผมจึงมองว่า ออก พ.ร.ก.นี้แค่ช่วยรัฐบาลให้ไปกู้มากขึ้น ไม่ให้ติดเพดาน 15% ” ศ.ดร.พลายพล กล่าว และว่า ขณะที่เงินต้นที่ค้างอยู่ 1.14 ล้านล้านบาท ยังไม่มีการแก้ไข ไหนๆ รัฐบาลจะทำ แล้วก็ควรหาทางทำให้เงินต้นลดลงได้ด้วย จะถือว่ารัฐบาลทำครบวงจร ไม่ใช่ปัดสวะ ให้ธนาคารพาณิชย์ และผู้ฝากเงิน
พ.ร.ก.ซอฟท์โลนหวั่นขัดเจตนารมณ์แบงก์ชาติ
สำหรับร่าง พ.ร.ก.ความช่วยเหลือทางการเงิน ปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ (ซอฟท์โลน) นั้น ศ.ดร.พลายพล กล่าวว่า โดยหลักความจำเป็นเร่งด่วน คงมีในระดับหนึ่ง จากเหตุการณ์น้ำท่วม การช่วยเหลือจึงน่าจะเหมาะสมในระดับหนึ่ง แต่คำถามก็คือ ที่ผ่านมารัฐบาลได้ให้ ธนาคารขอรัฐช่วยเหลือไปบ้างแล้ว ดังนั้นการให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสถาบันการเงินให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย วงเงิน 300,000 ล้านบาท จำเป็นแค่ไหน และเร่งด่วนหรือไม่
“ในข้อกฎหมายธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งแก้ไขเมื่อปี 2551 เหมือนให้อำนาจหน้าที่ปล่อยซอฟท์โลนได้ แต่เมื่อกลับไปอ่านดีๆ การจะให้ซอฟทโลนแก่สถาบันการเงิน ก็ต่อเมื่อสถาบันการเงินมีปัญหาสภาพคล่อง อาจมีผลเสียหายและมีผลต่อเสถียรภาพระบบการเงินโดยรวม จึงเชื่อว่า การออกพ.ร.ก.ช่วยเหลือทางการเงิน จึงจัดกับเจตนารมณ์ของกฎหมาย ธปท. และเป็นตัวอย่างไม่ดีขัด เบี่ยงเบนนโยบายการเงิน ทั้งๆ ที่รัฐบาลมีช่องทางอื่นทำอยู่แล้ว”
ด้านดร.นิพนธ์ พัวพงศกร ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวเสริมถึงการออก พ.ร.ก.ซอฟท์โลน เป็นการให้ ธปท. เข้าไปเกี่ยวข้องกับนโยบายการคลัง ซึ่งไม่ใช่กิจธุระของ ธปท. ฉะนั้นหากจะใช้ซอฟท์โลนเข้ามาแก้เรื่องภัยพิบัติทางธรรมชาติ รัฐบาลสามารถทำได้ 2 ทาง คือ เก็บภาษี และใช้สถาบันการเงินของรัฐปล่อยกู้ หรือหากเต็มขัดจำกัด รัฐบาลสามารถลดการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลงได้ เพื่อที่มาใช้ในเรื่องนี้
สำหรับ ร่าง พ.ร.ก.การจัดตั้งกองทุนประกันภัย ประธานทีดีอาร์ไอ แสดงความเห็นด้วย พร้อมมองว่า ค่อนข้างสำคัญ ณ เวลานี้ที่ไม่มีตลาดประกันแล้ว ซึ่งช้าไปอาจมีผลเสียต่อการทำธุรกิจ ขณะที่ร่างพ.ร.ก.กู้เงิน 3.5 แสนล้านบาท มองว่า หลายโครงการไม่เกี่ยวกับน้ำ อีกทั้งยังเป็นเรื่องระยะกลาง และระยะยาว พร้อมตั้งคำถามการอนุมัติกรอบวงเงินรอพิจารณางบประมาณปีหน้า ทันหรือไม่
ทั้งนี้ ดร.นิพนธ์ ตั้งข้อสังเกตุถึงความโปร่งใสในการออกพ.ร.ก. ซึ่งเป็นความลับ และการไม่ออกมาชี้แจงไม่ชัดเจนตั้งแต่ต้น ทำให้สังคมสงสัย ถึงความจำเป็นเร่งด่วน เชื่อว่า หากเปิดเผยประชาชนจะเข้าใจมากยิ่งขึ้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า โดยสรุปเวทีรับฟังความคิดเห็น ต่อร่าง พ.ร.ก. 4 ฉบับ นั้น โดยเฉพาะร่าง พ.ร.ก. โอนหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ ส่วนใหญ่มองว่า ยังไม่จำเป็นเร่งด่วน อีกทั้งมาตรการการแก้ไขปัญหานั้น ก็ไม่ได้มีมาตรฐานอย่างอื่นบรรลุผลได้ดีกว่า ที่จะสางปัญหาหนี้ก้อนใหญ่ของประเทศ
ขณะที่ร่าง พ.ร.ก.การจัดตั้งกองทุนประกันภัย นักวิชาการและผู้ทรงคุณวุฒิส่วนใหญ่เห็นสอดคล้องกันว่า มีความจำเป็นเร่งด่วน เพราะเสี่ยงกับความเชื่อมั่นในการลงทุนของประเทศ ส่วนร่างพ.ร.ก.กู้เงิน 3.5 แสนล้านบาท กับร่าง พ.ร.ก.ซอฟท์โลน ยังมีความเห็นแตกต่างกัน บ้างมองว่า ยังไม่จำเป็นรีบด่วน เพราะได้ผ่านพ้นความรีบด่วนไปแล้ว อีกทั้งยังมีข้อสังเกตถึงอำนาจหน้าที่ของ ธปท.
อย่างไรก็ตาม ในช่วงท้าย นางสุนี ไชยรส รองประธานกรรมการปฏิรูปกฎหมาย กล่าวว่า จากนี้กรรมการปฏิรูปกฎหมายจะเร่งจัดทำข้อเสนอแนะอย่างเร่งด่วนถึงรัฐสภาต่อไป หลังจาก ร่าง พ.ร.ก. 4 ฉบับ มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงกระบวนการร่างที่ไม่มีการเปิดเผย และไม่มีส่วนรวม
เอกสารประกอบเวทีรับฟังความคิดเห็นต่อร่างพระราชกำหนดที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบในหลักการ จำนวน 4 ฉบับ
http://www.thaireform.in.th/multi-dimensional-reform/2011-12-08-05-21-57/item/6963--4-.html
