สร้างสะพานข้ามเจ้าพระยาเกียกกาย เสียหายใหญ่หลวง-กระทบรัฐสภาใหม่
"...ตลอด 7 ปีที่ผ่านมา กทม.ไม่รับฟัง ไม่ตระหนักถึงปัญหาที่จะเกิดขึ้น จึงไม่ทำการศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดลึกซึ้งและจริงจัง และไม่เคยมีการชี้แจง เปิดเผยรายละเอียดผลการศึกษาทั้ง 2 แนวทางดังกล่าวต่อรัฐสภา สาธารณะชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ถึงแม้ว่าจะต้องใช้งบประมาณมากขึ้นตามที่ระบุจริงก็ยังถือว่าคุ้มค่าต่อบ้านเมืองโดยรวม..."
ก่อนอื่นผมต้องขอเรียนว่าผมไม่ได้มีเจตนาคัดค้านการสร้างสะพานฯ เพื่อการแก้ปัญหาจราจรโดยภาพรวม แต่คัดค้านแนวทางการสร้างสะพานเกียกกายของ กทม. ด้วยตระหนักถึงความเสียหายอันใหญ่หลวงต่ออาคารรัฐสภาซึ่งเป็นอาคารสำคัญของบ้านเมือง เป็นเอกลักษณ์ของชาติในการต้อนรับแขกบ้าน แขกเมือง ดังที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ทำการศึกษา วิเคราะห์แล้วว่าเหมาะสมเป็นที่ตั้งของอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ และให้ชื่อว่า "จักรีมหานคร" เพื่อสืบสานความเป็น Landmark ที่งดงามรับกับเส้นขอบฟ้า (Sky line) ริมแม่น้ำเจ้าพระยาของพระปรางค์วัดอรุณฯ และพระบรมมหาราชวัง เป็นที่ยอมรับของชาวโลกที่มีต่อกรุงรัตนโกสินทร์ จึงได้นำเรื่องเสนอในที่ประชุมร่วมระหว่าง สส. และสว. สมัยที่ผมเป็นสมาชิกวุฒิสภาเมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว โดยที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ท่านประธานชัย ชิดชอบ ทำหนังสือคัดค้านการสร้างสะพานไปยังกทม.และมหาดไทย ซึ่งก่อนหน้านี้ท่านประธาน ก็ได้มีหนังสือคัดค้านการสร้างสะพานฯ ตามแนวทางเดิมไปยัง กทม.และมหาดไทยแล้ว โดยแจงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่ออาคารรัฐสภา 4 ประการด้วยกัน คือ
1.บดบังทัศนียภาพ และความสง่างามของอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ซึ่งเป็นอาคารที่มีอัตลักษณ์แสดงถึงความเป็นชาติไทยและเป็นสถานที่สำคัญที่เป็นตัวแทนของคนไทย ในการรับรองประมุขและผู้นำของนานาประเทศ อาคารรัฐสภาจึงจำเป็นต้องมีความสง่างามเป็นหน้าเป็นตาของประเทศในการต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง ที่จะนำมาซึ่งความภาคภูมิใจของชาวไทยทั้งประเทศ
2.เป็นการทำให้ไม่สมพระเกียรติ เนื่องจากทางขึ้นสะพานคร่อมทางเข้าด้านหน้าซึ่งเป็นทางเข้าหลักทางรถยนต์ ของอาคารรัฐสภา ซึ่งเป็นทางเข้าหลักที่จะต้องเสด็จพระราชดำเนินไปทรงประกอบพระราชพิธีต่าง ๆ เช่น ทรงเสด็จพระราชดำเนินไปประกอบพิธีเปิดอาคารรัฐสภา ทั้งยังไม่เหมาะสมในการต้อนรับประมุข และผู้นำประเทศต่าง ๆ อีกด้วย
3.ทำให้อาคารรัฐสภามีความเสี่ยงสูงจากวินาศภัย และยากแก่การป้องกันเพราะสะพานอยู่ในระดับสูงซึ่งในเรื่องนี้ได้มีการตั้งคณะกรรมการศึกษาการปรับปรุงโครงสร้างของสำนักรักษาความปลอดภัยของรัฐสภาที่มีตัวแทนทั้ง 3 เหล่าทัพ ตำรวจ และสมช. ก็มีมติร่วมกันว่าสะพานตามแนวทางเดิมของ กทม.เป็นอันตรายต่อความปลอดภัยของรัฐสภา
4.สร้างผลกระทบด้านมลพิษและเสียงให้เกิดแก่ผู้ใช้อาคารรัฐสภาซึ่งมีจำนวนคนถึงวันละ 20,000 คน
รวมทั้งได้เสนอแนวทางแก้ไข จากการทำกรณีศึกษาเบื้องต้นไปยัง กทม. 2 แนวทาง คือ
1.เบี่ยงแนวสะพานไปทางบางซื่อ ซึ่งจะใช้งบประมาณการเวนคืนถูกกว่าแนวทางเดิมเพราะอยู่ในพื้นที่ส่วนราชการทหารเป็นส่วนใหญ่และเป็นเส้นตรงมากกว่าแนวทางเดิมของ กทม.
2.ทำเป็นอุโมงค์ลอดแม่น้ำเจ้าพระยา กรณีนี้จะต้องใช้งบประมาณสูงกว่าแนวทางเดิม 2 เท่า จาก 4 พันล้าน เป็น 8 พันล้าน ในขณะที่ กทม.ยังคงยืนยันว่าต้องใช้งบประมาณสูงขึ้น 3-4 เท่า
แต่ตลอด 7 ปีที่ผ่านมา กทม.ไม่รับฟัง และไม่ตระหนักถึงปัญหาที่จะเกิดขึ้น จึงไม่ทำการศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดลึกซึ้งและจริงจัง และไม่เคยมีการชี้แจง และเปิดเผยรายละเอียดผลการศึกษาทั้ง 2 แนวทางดังกล่าวต่อรัฐสภา สาธารณะชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และถึงแม้ว่าจะต้องใช้งบประมาณมากขึ้นตามที่ระบุจริงก็ยังถือว่าคุ้มค่าต่อบ้านเมืองโดยรวม โดยยังยืนกระต่ายขาเดียวให้เหตุผลว่าแนวทางเดิมเหมาะสมแล้วตลอดเวลา กลับผลักดันเรื่องไปยังกระทรวงมหาดไทยให้นำเสนอเข้าครม. โดยการบิดเบือนภาพทัศนียภาพที่มองจากมุมบนเพื่อสร้างความเข้าใจผิดว่าสะพานไม่บดบังอาคารรัฐสภาแต่อย่างใด ท่ามกลางการคัดค้านของหลายฝ่ายอย่างเป็นทางการเช่น องค์กรสภาวิชาชีพอย่างสภาสถาปนิก รัฐสภา ชุมชนบางกรวย รวมถึงผู้ออกแบบตลอดมา
แม้กระทั่งผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองที่เล็งเห็นความเสียหายอย่างใหญ่หลวงที่จะเกิดขึ้น ได้แก่ ศ.ระพี สาคริก, ศ.เกียรติคุณ นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส , อ.รตยา จันทรเฑียร อดีตประธานมูลนิธิสืบนาคะเสถียร, ศ.ดร.นิจ หิญชีระนันท์ อดีตอธิบดีกรมผังเมือง ศิลปินแห่งชาติสาขาผังเมือง, ศ.อรศิริปาณินท์ อดีตคณบดีคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร, เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ประธานคณะกรรมการเครือข่ายศิลปินเพื่อการปฏิรูป, ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช นายกสภามหาวิทยาลัยมหิดล, ดร.การุญ จันทรางศุ อดีตรองผู้ว่ากทม. และศิลปินแห่งชาติจากหลายสาขา เช่น ศ.กิตติคุณเดชา บุญค้ำ, นายช่วง มูลพินิจ, นางดุษฎี พนมยงค์(บุญทัศนกุล), และสถาปนิกดีเด่น รวมจำนวนทั้งสิ้น 22 คน ได้ร่วมกันลงนามทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาเพื่อขอคัดค้านการสร้างสะพานเกียกกายตามแนวทางของ กทม.ดังกล่าว พร้อมทั้งการคัดค้านจากสื่อมวลชนอย่างเปลวสีเงิน เป็นต้น
ในเวลาต่อมาทางสำนักราชเลขาธิการ ได้มีหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้พิจารณาเรื่องนี้อย่างละเอียดรอบคอบจากความเห็นของทุกฝ่ายเพื่อประโยชน์สูงสุดของบ้านเมืองและคุ้มค่ากับงบประมาณที่มาจากเงินภาษีของประชาชน นายกรัฐมนตรีจึงมอบหมายให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง เป็นประธานคณะกรรมการติดตามเรื่องนี้
โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 1 ก.ย. 2559 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ได้เรียกผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายเข้าประชุมรวมถึงให้ผู้ถวายฎีกาเข้าชี้แจงข้อขัดแย้งและข้อเสนอต่อที่ประชุม และมีคำสั่งให้กระทรวงมหาดไทยตั้งคณะกรรมการที่เป็นผู้มีความรู้ และเชี่ยวชาญเฉพาะทาง จากสถาบันการศึกษาอย่างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และองค์กรวิชาชีพต่างๆ เช่น สมาคมสถาปนิกฯ สภาสถาปนิก วิศวกรรมสถาน สภาวิศวกร เพราะเรื่องสุนทรียภาพ-เทคนิคการก่อสร้างชั้นสูง เช่นอุโมงค์ ที่มีความสำคัญระดับชาติบ้านเมือง ต้องอาศัยผู้ทรงคุณวุฒิที่มีประสบการณ์ มีวิสัยทัศน์ และความเชี่ยวชาญเฉพาะทางมากำหนดทิศทางการแก้ปัญหาโดยเฉพาะเรื่องการบดบังทัศนียภาพที่เห็นชัดว่าจะเกิดขึ้นแน่นอนอยู่แล้วแต่กทม. ไม่รู้สึกอะไรเลยมา 7 ปี ให้กับ กทม. ซึ่งไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญโดยตรง กทม.จึงจำเป็นต้องรับฟังคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญดังกล่าว อุปมาได้กับหากมีการก่อสร้างสะพานพาดผ่านพระปรางค์วัดอรุณฯ สะพานนั้นย่อมบดบังและทำลายความศักดิ์สิทธิ์ สง่างามจากความเป็นเส้นขอบฟ้า (Sky line) ของกรุงเทพมหานคร แห่งรัตนโกสินทร์มายาวนาน จึงมิอาจปล่อยให้เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นได้ ดังนั้น กทม.จึงต้องรับฟังอย่างไม่มีเงื่อนไข เพื่อประโยชน์ที่แท้จริงของชาติบ้านเมือง
ดังนั้น การที่พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สั่งตั้งคณะกรรมการจากผู้มีความรู้ และเป็นผู้เชี่ยวชาญมาเพื่อหาข้อยุตินั้นถือเป็นคำสั่งที่มีความชอบธรรมและน่าชื่นชมจากการรับฟังความเห็นของทุกฝ่ายเป็นตัวอย่างการทำงานที่มีลักษณะเป็น “ประชารัฐ” เพื่อการปฏิรูปบ้านเมืองที่สำคัญยิ่ง
แต่ยังไม่ทันตั้งคณะกรรมการ กทม.ก็มีทีท่าว่าจะเดินหน้าสร้างสะพานโดยไม่ฟังมติจากที่ประชุมคณะกรรมการติดตามที่มีพล.อ ประวิตร วงศ์สุวรรณ เป็นประธาน และเสียงคัดค้านจากฝ่ายใดทั้งสิ้นโดยมักอ้างว่าโครงการดังกล่าวได้เกิดขึ้นก่อนที่จะมีโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภา ทั้งที่ขณะนี้อาคารรัฐสภาได้ดำเนินการก่อสร้างไปแล้วโดยใช้งบประมาณก่อสร้างเกือบ ๒ หมื่นล้าน และค่าเวนคืนที่ดินอีก ๗ พันล้าน หากคิดรวมมูลค่าที่ดินประมาณ 5 หมื่นล้านด้วยแล้ว โครงการรัฐสภามีมูลค่าเกือบ 1 แสนล้าน ในขณะที่โครงการก่อสร้างสะพานฯ นั้น ยังไม่ผ่าน กม. EIA (ผลกระทบสิ่งแวดล้อม)และยังไม่ได้รับอนุมัติจากครม. ยังสามารถพิจารณาหาแนวทางที่เหมาะสมได้หาก กทม. ยังดันทุรังก่อสร้างสะพานในตำแหน่งเดิมแทนที่จะส่งเสริมกันกลับเป็นการขัดขวางกันเองจนทำให้การใช้งบประมาณทั้ง 2 โครงการต้องสูญค่าไปอย่างสิ้นเชิงและกลายเป็นผลงานที่สร้างความอัปยศ และตราบาปของรัฐบาลชุดนี้ ที่แก้ไขไม่ได้ตลอดไป
โดยวัตถุประสงค์ของอาคารรัฐสภาแห่งใหม่นี้ เป็นพื้นที่ที่เปิดรับการเข้ามาของประชาชนทุกภาคส่วน สามารถเยี่ยมชม ศึกษาหาความรู้จากพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ และทำกิจกรรมภาคประชาชนได้อย่างเต็มที่ อาคารรัฐสภาแห่งใหม่ จึงไม่ได้เป็นเพียงสถานที่ทำงานของสส.สว.หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐสภาดังเช่นที่ผ่านมา แต่เป็นสัญลักษณ์ของรัฐไทยอันเป็นของประชาชนชาวไทยทุกคน การที่ประชาชนยังไม่ได้ให้ความสำคัญกับอาคารรัฐสภาแห่งใหม่นี้ และเห็นว่าไม่ควรต้องสร้างให้สิ้นเปลืองภาษีประชาชนนั้นก็เนื่องมาจากทัศนคติที่ไม่ดีต่อสส. หรือนักการเมือง ซึ่งในเรื่องนี้ผมเห็นว่าเป็นคนละเรื่องกัน เปรียบเสมือนบ้านที่เราต้องดูแลให้งามตาน่ามองพร้อมต้อนรับยามที่มีผู้มาเยี่ยมเยือน ส่วนคนในบ้านจะเกกมะเหรกเกเร ก็เป็นเรื่องภายในที่คนในบ้านก็ต้องว่ากล่าวตักเตือนแก้ไขกันไป
ฉันใดก็ฉันนั้น อาคารรัฐสภาแห่งใหม่ที่เป็นเสมือนบ้านรับรองที่เป็นตัวแทนของคนไทยทั้งประเทศก็จำเป็นต้องมีอัตลักษณ์สะท้อนภูมิปัญญาของชาติและความสง่างาม ที่สามารถต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองได้อย่างไม่อายใครเฉกเช่นรัฐสภาของประเทศที่เจริญแล้วทั้งหลาย เช่น Bundestag รัฐสภาแห่งเยอรมนี,Parliament of the Commonwealth of Australiaรัฐสภาแห่งออสเตรเลีย, United States Congress รัฐสภาแห่งสหรัฐอเมริกา,Houses of Parliament รัฐสภาแห่งอังกฤษ
ส่วนข้าราชการ นักการเมือง ที่โกงกินบ้านเมือง แสวงหาผลประโยชน์ใส่ตัวก็ต้องจัดการสะสางกันต่อไปดังที่ท่านนายกรัฐมนตรีกำลังทำอยู่และถือเป็นนโยบายสำคัญ ของรัฐบาล คสช.
จึงขอเสนอข่าวมาให้พี่น้องประชาชนของประเทศเห็นถึงความเสียหายอย่างใหญ่หลวงที่จะเกิดขึ้นกับบ้านเมือง เพื่อร่วมกันคัดค้านการก่อสร้างสะพานตามแนวทางเดิม พร้อมทั้งจับตาดู ว่าการที่กทม.ยังดันทุรังทำไปโดยไม่สนใจฟังเสียงทัดทานจากสังคมนั้น จะมีเรื่องการเอื้อประโยชน์แก่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือไม่?