Gen-Y ทำงานเก่งแต่อยู่กับองค์กรไม่นาน แนะดึงจุดแข็ง ปรับสิ่งแวดล้อมจูงใจ อย่าตีกรอบ
เปิดพฤติกรรมสุขภาพคนต่างเจนในไทย ‘เบบี้บูม’ เคารพกติกาสังคม-ทุ่มเทชีวิตให้กับงาน-เงินออมยามชราวิกฤติ ‘เจนเอกซ์’ ครองโสดมากขึ้น-เปิดกว้างต่อความหลากหลาย ขณะที่ ‘เจนวาย’แต่งงานช้า ไม่ต้องการมีบุตร-ทำงานเก่งแต่อาจอยู่กับองค์กรไม่นาน
วันที่ 29 ก.ย. ที่สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ในงานแถลงข่าว “เข้าใจพฤติกรรมต่างเจน ผ่านตัวชี้วัดสุขภาพคนไทย” โดยความร่วมมือของสสส. และสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล
ผศ.ดร.เฉลิมพล แจ่มจันทร์ คณะทำงานรายงานสุขภาพคนไทย สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวถึงรายงานสุขภาพคนไทย ปี 2559 ได้เน้นศึกษาความแตกต่างของคนแต่ละรุ่นหรือเจเนอเรชั่น ซึ่งมีหลากหลายมากขึ้นในประเทศไทย เนื่องจากบริบทสังคมที่ต่างกันจะส่งผลต่อพฤติกรรม ค่านิยม ทัศนคติที่ต่างกัน และมีผลต่อพฤติกรรมสุขภาพที่ต่างกัน
"สัดส่วนประชากรในประเทศไทยพบว่า เจนเอกซ์ (ปีเกิด2504-2524) มีจำนวนสูงที่สุดถึง 23 ล้านคน ตามด้วยเจนวาย (ปีเกิด 2525-2548) 22 ล้านคน เบบี้บูมเมอร์ (ปีเกิด2486-2503) อยู่ที่ 11.7 ล้านคน และหลังเจนวาย 7.8 ล้านคน"
ผศ.ดร.เฉลิมพล กล่าวว่า จากการศึกษาถึงพฤติกรรมทางสุขภาพ เศรษฐกิจ และสังคมที่น่าสนใจของคนในแต่ละรุ่นพบว่า
- เบบี้บูมเมอร์ พฤติกรรมทางสังคมเป็นกลุ่มที่เคารพกติกาทางสังคมมากที่สุดแต่ยอมรับความหลากหลายได้น้อยกว่ารุ่นอื่นๆ ส่วนใหญ่ 70-80% แต่งงานก่อนอายุ 30 ปี มีการใช้อินเทอร์เน็ตเฉลี่ย 5 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ โดยส่วนใหญ่ใช้เพื่อติดตามข่าวสารทั่วไปโดยเฉพาะเรื่องสุขภาพ และมีคนรุ่นนี้จำนวนมากที่อยู่ในวัยทำงาน ยังไม่มีหลักประกันรายได้ยามชราที่มั่นคง มีเพียง 18% ที่มีหลักประกันรายได้ยามชราภายใต้กองทุนใดกองทุนหนึ่งเท่านั้นสำหรับพฤติกรรมทางสุขภาพพบว่า เป็นกลุ่มที่มีกิจกรรมทางกายเพียงพอสูงสุดถึง 77%
- เจนเอกซ์ ที่เติบโตมากับวัฒนธรรมไทยกลิ่นอายต่างชาติจากการเข้ามาของรายการต่างชาติ ร้านอาหารฟาสต์ฟู้ด และความเป็นเมืองมากขึ้น พฤติกรรมทางสังคมจึงเปิดกว้างกับความหลากหลายในสังคมและเทคโนโลยีมากขึ้นกว่าเมื่อเทียบกับเบบี้บูม มีอัตราการแต่งงานที่ช้าลงและครองโสดเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังพบว่า เป็นกลุ่มคนที่มีหลักประกันรายได้หลังเกษียณดีขึ้น แต่อาจต้องพึ่งพาตนเองมากขึ้น พึ่งลูกหลานได้น้อยลง ส่วนพฤติกรรมทางสุขภาพพบว่า ในบางด้านมีความเสี่ยงเพิ่มมากกว่าเบบี้บูม เช่น อายุเริ่มสูบบุหรี่และดื่มสุรา รวมถึงพฤติกรรมทางเพศ
- เจนวาย พฤติกรรมทางสังคมพบว่า แต่งงานช้าและไม่ต้องการมีบุตร มีการเปลี่ยนงานบ่อย ใช้อินเทอร์เน็ตสูงที่สุดเฉลี่ย 8 ชั่วโมงต่อวัน ชอบใช้ชีวิตอิสระโดยมากกว่า 1 ใน 3 ใช้ชีวิตอยู่ในคอนโดมิเนียม หอพัก ส่วนทางด้านเศรษฐกิจพบว่า เป็นกลุ่มที่มีการใช้จ่ายด้านอาหารสูงสุดถึง 77% ของรายจ่ายทั้งหมด โดยนิยมรับประทานอาหารนอกบ้านหรือซื้ออาหารสำเร็จมากขึ้น รวมถึงการซื้อสินค้าออนไลน์อย่างน้อย 1 ครั้ง/เดือนมากที่สุดถึง 38% ขณะที่พฤติกรรมทางสุขภาพพบว่า เจนวายมีกิจกรรมพฤติกรรมทางกายน้อยที่สุด เพียง 1.14 ชั่วโมงต่อวัน เจนวายในเขตเมือง มีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกอายุเฉลี่ย 15 ปี และจำนวนคู่นอนเฉลี่ยในผู้หญิงสูงขึ้น โดยวัยรุ่นหญิง 15-19 ปี จำนวนคู่นอนเฉลี่ยอยู่ที่ 5 คน เท่ากับวัยรุ่นชาย
รศ.ดร.ชื่นฤทัย กาญจนะจิตรา สถาบันวิจัยประชากรและสังคมมหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า การยอมรับความแตกต่างของคนแต่ละยุคเป็นสิ่งสำคัญ เพราะเติบโตในแต่ละยุคที่มีวิธีคิดและความเชื่อต่างกัน จึงไม่ควรคาดหวังให้คนแต่ละยุคต้องคิดเหมือนกัน ซึ่งสามารถนำมาปรับใช้ในการทำงานขององค์กร เช่น การดึงจุดแข็งของเจนวายที่สามารถทำงานได้หลากหลายในเวลาเดียว โดยปรับสิ่งแวดล้อมเพื่อจูงใจในการทำงาน เช่น ไม่ต้องตอกบัตรเข้างาน ไม่ถูกตีกรอบจนเกินไป รูปแบบการทำงานจึงไม่จำเป็นต้องมีรูปแบบเดียว จำเป็นต้องสร้างนวัตกรรมใหม่ๆในการทำงานมากขึ้น เช่น งานฟรีแลนซ์ ทั้งนี้คนเจนเอกซ์และวายจะเป็นกำลังแรงงานที่สำคัญ เพราะอัตราการเกิดที่ลดลง คนรุ่นดังกล่าวจึงจำเป็นต้องหาโอกาสที่เปิดกว้าง พัฒนาทักษะที่มีความหลากหลาย เพราะโลกยุคใหม่จะเป็นโลกของนวัตกรรม การเท่าทันเทคโนโลยี และแสวงหาโอกาสที่เปิดกว้างเหล่านี้
จับตาหนี้เสีย เจนเอกซ์และเจนวาย
นพ.วีระพันธ์ สุพรรณไชยมาตย์ รองประธานกรรมการ คนที่ 2 สสส. กล่าวว่า กลุ่มเจนวายเป็นกลุ่มที่มีรายจ่ายสูงสอดคล้องกับข้อมูลของบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด ที่พบว่า คนเจนเอกซ์และเจนวาย เป็นกลุ่มที่ต้องจับตาหนี้เสียในทุกประเภทสินเชื่อ โดยเฉพาะกลุ่มเจนวายที่มีหนี้เสียจากสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลเพิ่มขึ้น ซึ่งจากการทำงานองค์กรแห่งความสุขพบว่า ทักษะทางการเงิน เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เกิดความสุขในการทำงาน ในการประชุมประชารัฐภาคสังคมที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจึงสนใจที่จะเข้าร่วมให้ความรู้ถึงทักษะทางการเงินในกลุ่มวัยทำงานเหล่านี้
ส่วนเบบี้บูม นพ.วีระพันธ์ กล่าวว่า พบว่าเป็นกลุ่มที่มีหลักประกันรายได้วัยชราน้อยที่สุด จึงทำงานร่วมกับกระทรวงแรงงานในการสนับสนุนการขยายอายุและโอกาสในการทำงานของแรงงานในระบบ พร้อมทั้งส่งเสริมให้มีการออมในกองทุนการออมแห่งชาติตั้งแต่อายุยังน้อย ในส่วนของปัจจัยทางสุขภาพนั้น ล่าสุดได้ร่วมมือกับกรมอนามัย กระทรวงแรงงานในการสร้างเสริมสุขภาพแก่กลุ่มคนวัยแรงงาน เป็นต้น