ราคาชีวิต ผู้เสียหายจากความรุนแรง หรือ 'รัฐ' สองมาตรฐาน ?
หลัง จากที่รัฐบาลเปิดตัวเลขค่าชดเชยเยียวยาผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ความขัดแย้ง ทางการเมือง วงเงิน 7,750,000 บาท กลายเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ขึ้นมาทันทีว่า มาตรการดังกล่าวเกิดขึ้นเพื่อปูนบำเหน็จฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง รวมถึงตั้งข้อสังเกตว่า เป็นการดำเนินการแบบสองมาตรฐาน
เวทีราชดำเนินเสวนา ซึ่งจัดโดยสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ร่วมกับสถาบันอิศรา มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย ไม่รอช้า นำคนต้นเรื่องร่วมถก “ราคาชีวิต...ผู้เสียหาย จากความรุนแรง โดยรัฐสองมาตรฐานจริงหรือ?” ใครมีความคิดสอดคล้อง หรือเห็นแตกต่างอย่างไร จับกระแสได้จากตัวอักษรต่อไปนี้...
นายสมชาย หอมลออ กรรมการ คอป.
"ถ้าหลักคิดจ่ายเงินเยียวยา อยู่บนพื้นฐานความรับผิดชอบ-หลักสิทธิมนุษยชน-ปรองดอง
คอป.ก็เห็นว่า สมควร"
ภารกิจของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความ จริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) คือการเสนอแนะแนว กระบวนการในการสร้างความปรองดองของชาติ เนื่องจากความขัดแย้งทางการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสูญเสียชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของประชาชนที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ขัดแย้งทางการเมือง ในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่มีความต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน
การเสนอแนะแนวทางที่ยั่งยืนในกับสังคมไทยได้ นั้น ต้องมีการตรวจสอบค้นหาความจริง อะไรเป็นสาเหตุของความขัดแย้ง รวมถึงการเยียวยา ซึ่งจากการศึกษาสภาพปัญหาของผู้ที่ได้รับผลกระทบ รวมทั้งประสบการณ์ทั้งในและต่างประเทศ พบว่า ผู้ที่เป็นเหยื่อถือว่าเป็นบุคคลสำคัญที่สุดในการสร้างความปรองดองขึ้นมาใน ชาติ เพราะตราบใดที่ผู้เป็นเหยื่อมีความขับข้องใจ มีความรู้สึกทุกข์ระทมขมขื่น ความปรองดองจะเกิดขึ้นได้ยาก โดยเฉพาะเมื่อเรื่องดังกล่าวถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นทางการเมืองของฝ่าย ต่างๆ คอป. จึงเห็นว่า การเยียวยาจึงเป็นเงื่อนไขเบื้องต้นที่นำไปสู่ความปรองดอง”
อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมารัฐได้มีมาตรการเยียวยาในระดับหนึ่ง แต่การเยียวยาของรัฐในระยะที่ผ่านมา เป็นการใช้มาตรการตามกฎเกณฑ์ที่มีอยู่ตามปกติ ไม่ใช่เป็นกฎเกณฑ์ที่ใช้สำหรับความขัดแย้งทางการเมือง หรือความเสียหายขนาดใหญ่ เป็นแต่เป็นการช่วยเหลือตามหลักมนุษยธรรม หลักผู้ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติ ซึ่งไม่เพียงพอ
"ในบ้านเราเคยมีประสบการณ์เรื่องการช่วยเหลือ ดูแลผู้สูญเสีย เสียหายจากกรณีความขัดแย้งทางการเมืองอยู่บ้าง เช่น เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ที่การเยียวยามีมาตรการพิเศษ รัฐดำเนินการอย่างเป็นระบบ ถึงขั้นจัดพระราชพิธีพระราชทานเพลิงศพที่ท้องสนามหลวง มีการให้พื้นที่บริเวณสี่แยกคอกวัวในการสร้างอนุสรณ์สถาน มีการบรรจุเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ ไว้ในแบบเรียน รวมถึงมีการชดใช้เยียวยาเป็นตัวเงิน"
แต่สุดท้ายแล้วคงต้องยอมรับว่า การเยียวยาที่ได้ผลมากที่สุด คือ การนำผู้กระทำความผิดมาดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม แต่ที่ผ่านมาหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ บ้านเราก็ดำเนินการนิรโทษกรรม ขณะที่บางเหตุการณ์ เช่น 6 ตุลาคม 2519 นั้น ก็ยังไม่เคยได้รับการเยียวยาใดๆ เลย ถ้ารัฐบาลชุดนี้ หรือชุดไหนขยายการเยียวยาไปถึงเหตุการณ์ดังกล่าว ก็จะกลายเป็นประวัติศาสตร์
ส่วนหลักคิดในเรื่องความปรองดองนั้น ตามหลักคิดด้านสิทธิมนุษยชน รัฐมีหน้าที่ปกป้องสิทธิในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ถ้ารัฐดำเนินการล้มเหลวก็ต้องชดใช้ตามสมควร ทั้งนี้ เพราะหลักสิทธิมนุษยชนนั้น เราถือว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมาเสรี และยอมสละสิทธิเสรีภาพของตนเองให้แก่รัฐ เพื่อให้รัฐทำหน้าที่ได้ ฉะนั้น หลักการที่ คอป.เสนอแนะต่อรัฐบาลและสังคม ให้มีการเยียวยาผู้ที่เสียชีวิต บาดเจ็บ เสียหายทางด้านทรัพย์สินและจิตใจ โดยใช้มาตรการพิเศษ
แต่ คอป. ไม่ได้กำหนดว่า รัฐต้องจ่ายเท่าใด หรืออย่างไร เพราะเป็นหน้าที่ของรัฐที่ต้องพิจารณาตามความเหมาะสม ขณะเดียวกันสังคมก็ต้องร่วมกันพิจารณาอย่างมีวุฒิภาวะ เพราะเรื่องดังกล่าวไม่ใช่ภารกิจของ คอป. ที่จะลงลึกในรายละเอียด
อย่างไรก็ตาม อัตราในการจ่ายนั้น คอ ป. เห็นว่า ต้องมีหลักคิด ดังนี้ 1.ต้องอยู่บนพื้นฐานที่รัฐต้องมีความรับผิดชอบต่อการสูญเสียชีวิต ทรัพย์สิน ร่างกายของประชาชน 2.บนพื้นฐานที่จะนำไปสู่ความปรองดอง และ 3. บนพื้นฐานหลักสิทธิมนุษยชนที่ชีวิต ร่างกายมีค่ามาก ทั้งนี้ ถ้ารัฐบาลพิจารณาโดยมีหลักเกณฑ์ที่สามารถอ้างอิงได้ คอป.ก็เห็นว่า สมควร ส่วนหลักเกณฑ์ของรัฐบาลจะอ้างอิงได้หรือไม่ เรายังไม่ได้รับการชี้แจง
แต่ในทัศนะส่วนตัว ผมเห็นว่า สมควร อีกทั้งเจ้าหน้าที่ที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ต่างๆ ก็ต้องได้รับค่าชดใช้เยียวยาตามกฎหมาย หรือตามคำสั่งของรัฐ เพราะคงต้องยอมรับว่า ใน อดีตการชดเชยเยียวยาต่ำมาก อีกทั้งการเยียวยาโดยกระบวนการในสังคม กรณีความรุนแรงที่เกิดขึ้นโดยรัฐ ก็ถือว่า ‘ปิดประตูตาย’ เพราะมีกฎหมายนิรโทษกรรมปิดประตูอยู่
“การเยียวยานั้น ไม่ได้ต้องการเฉพาะตัวเงิน แต่ต้องการความเป็นธรรม การนำตัวผู้กระทำความผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ส่วนจะไปนิรโทษกรรมหรือไม่นั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่กระบวนการยุติธรรมต้องทำงานเสียก่อน”
นอกจากนี้ ในเรื่องการเยียวยาผู้ที่ติดคุก ในคดีที่ศาลยกฟ้องนั้น ก็เห็นว่าเป็นเรื่องจำเป็นและสมควร เนื่องจากพบว่าคดีที่เกี่ยวข้องกับทางการเมือง มีเปอร์เซ็นต์ในการยกฟ้องสูงมาก ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่รัฐจะได้ไม่เอาคนไว้ในอำนาจ การควบคุมโดยไม่คำนึงถึงหลักการ พนักงานอัยการจะได้ไม่ฟ้องคดี โดยไม่คำถึงถึงสิทธิเสรีภาพ เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว ความไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้น จะกลายเป็นประเด็นที่ทำให้ความขัดแย้งขยายวงกว้างมากขึ้น
นายวีระวงค์ จิตต์มิตรภาพ โฆษก ปคอป.
"7,500,000 บาทเป็นตัวเลขที่สูง เพราะเราไม่เคยจ่ายมากขนาดนี้
แต่ตัวเลขนี้แฝงด้วยมติทั้งด้านความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคมรวมอยู่ด้วย"
การเยียวยาผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ความขัด แย้งทางการเมืองนั้น แตกต่างจากผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์น้ำท่วม เนื่องจากมีเรื่องของสิทธิมนุษยชน รัฐ มาตรการของรัฐเข้าไปเกี่ยวข้อง จึงเป็นเรื่องใหญ่ที่ไม่สามารถดำเนินการได้ตามปกติ
ฐานคิดในเรื่องของการเยียวยา ที่คณะกรรมการประสานและติดตามผลการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ อิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (ปคอป.) กำหนดจึงไม่ใช่เรื่องการชดเชยจากการที่มีผู้กระทำความผิด แต่การเยียวยานั้นเป็นเรื่องของนโยบาย ดุลพินิจ รวมถึงการที่รัฐบาลแสดงความรู้สึกร่วม ห่วงใย ในเหตุการณ์ที่รัฐบาลมีส่วนร่วมทำให้เกิดความความเสียหาย และไม่ต้องการให้ความทุกข์เกินเลย
การเยียวยาในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสิทธิมนุษยชนนั้น ไม่ได้มีหลักการที่ชัดเจน จากประสบการณ์ในต่างประเทศ เช่น อเมริกาใต้ อาเจนติน่า ชิลี กำหนดให้ใช้เงินเดือนข้าราชการสูงสุดเป็นตัวตั้ง ส่วนประเทศ ไทยนั้น เงินชดเชยกรณีเสียชีวิตจำนวน 4,500,000 บาท คำนวณจากฐานข้อมูลรายได้เฉลี่ยประจำต่อคน ต่อเดือน ตามสถิติรายได้ประชาชาติของประเทศ (GDP per capita) ในปี 2553 ซึ่งเท่ากับ 150,177 บาท ชดเชยการเสียโอกาสในการทำงานให้กับทุกครอบครัวในอัตราเดียวกันเป็นเวลา 30 ปี นอกจากนี้เพื่อต้องการบอกว่า เราคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของประชาชน จึงกำหนดให้มีการชดเชยเยียวยาความสูญเสียทางด้านจิตใจเพิ่มอีก 3,000,000 บาท ทั้งนี้ เงินจำนวน 7,500,000 บาทเฉลี่ยได้เท่ากับ 694 บาทต่อวัน
“7,500,000 บาทเป็นตัวเลขที่สูง เพราะเราไม่เคยจ่ายมากขนาดนี้ แต่ตัวเลขดังกล่าวแฝงด้วยมติทั้งด้านความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคมรวมอยู่ด้วย และเพื่อให้ผู้ที่สูญเสียได้รับการชดเชยเยียวยา ทุกคนต้องหยุดเรื่องการเมือง รัฐบาลต้องพยายามทำให้เห็นว่าไม่มีสี เพศ อายุ อาชีพ ไม่เลือกปฏิบัติ นอกจากนี้ต้องมีมาตรการเชิงสังคม เพื่อทำให้ทุกคนรู้สึกดีขึ้น”
ส่วนกรณีเยียวยาสองมาตรฐานหรือไม่นั้น คงต้องพิจารณาจากเหตุการณ์ที่มาจากมูลเหตุเดียวกัน ถ้า พิจารณาแต่กรณีการชุมนุมของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) โดยไม่พิจารณาเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ หรือเหตุการณ์ต่อเนื่องกัน ลักษณะดังกล่าวถึงจะเรียกว่า สองมาตรฐาน แต่ขณะนี้มีมาตรฐานเดียว และเป็นมาตรฐานใหม่ที่กำหนดว่า ต่อไปรัฐต้องคำนึงถึงสิทธิมนุษยชน
อย่างไรก็ตาม ค่าชดเชยดังกล่าว ไม่ได้ต้องการเชิญชวนให้ผู้คนออกมาเดินขบวนเรียกร้อง ออกมาตาย เพื่อรับเงินชดเชย แต่การออกมาชุมชนนั้น ในระบบประชาธิปไตยก็ไม่สามารถเลี่ยงได้
นางอังคณา นีละไพจิตร ปธ.คณะทำงานยุติธรรมเพื่อสันติภาพ
"ต่อให้รัฐจ่ายเงินเยียวยาแค่ 1,000 บาท แต่รัฐรู้สึกเสียใจ
ต้องชดใช้ รับผิดชอบ ก็มีคุณค่าและทำให้เหยื่อกลับมาอยู่ในสังคมได้"
สังคมขณะนี้ตั้งคำถามเรื่องเงินเยียวยา เนื่องจากต้องการเห็นมาตรฐานในการเยียวยาที่ชัดเจนก่อน แต่รัฐกลับนำเสนอตัวเลขออกมา โดยที่ตัวเลขนั้นยังไม่สามารถอธิบายได้ว่า มาจากฐานคิดอะไร
“จากการศึกษาหลักการเยียวยาแบบสากล พบว่า มาตรฐานของศาลสิทธิมนุษยชนสหภาพยุโรป ศาลสิทธิมนุษยชนทวีปอเมริกา ฯ ค่าชดเชยไม่ได้ขึ้นอยู่กับผู้ร้องเรียน ผู้เป็นเหยื่อ ถึงแม้เหยื่อจะปฏิเสธไม่รับค่าชดเชย แต่รัฐก็จำเป็นต้องจ่ายตามพันธกรณี ขณะเดียวกันรัฐจะต้องตรวจสอบและเปิดเผยข้อเท็จจริง ในกรณีที่พบว่า มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง
พร้อมกันนี้ จะต้องนำผู้กระทำความผิดมาลงโทษ หน้าที่ของรัฐจึงไม่ใช่มีแค่ต่อเหยื่อ แต่ต้องเลยไปถึงสังคมด้วย และนอกจากนี้รัฐยังมีพันธกรณีที่จะต้องลงโทษผู้กระทำผิด เพื่อไม่ให้เกิดภาวะที่ผู้กระทำความผิดลอยนวล อย่างไรก็ตาม สิทธิในการเข้าถึงความจริง ความยุติธรรม การชดใช้เยียวยาก็เป็นเรื่องที่มีความจำเป็น”
ส่วนการชดเชยเยียวยาด้านจิตใจนั้น ในต่างประเทศให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะเป็นการฟื้นฟูให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตาม ปกติ แต่การชดเชยเยียวยาด้านจิตใจนั้น บางเรื่องเช่น ค่ารักษาพยาบาล สามารถประเมินได้ ขณะที่อาการฝันร้าย การถูกคุกคาม ภาระการพิสูจน์หลักฐานต่อเจ้าหน้าที่ ไม่สามารถประเมินได้ ดังนั้น เงินจำนวน 3,000,000 ล้านบาทที่รัฐบาลจะมอบให้ อาจไม่มีความหมายเท่ากับความรู้สึกที่ว่า รัฐต้องการชดใช้ รับผิดชอบ รู้สึกเสียใจ สิ่งเหล่านี้มีคุณค่า ทำให้เหยื่อกลับมาอยู่ในสังคมได้ ต่อให้รัฐจ่ายแต่ 1,000 บาทก็ตาม
นอกจากนี้เอกสารสำคัญต่างๆ ต้องถูกเก็บไว้เป็นอย่างดี เพื่อให้ไม่มีการบิดเบือนในวันข้างหน้า ขณะที่การตั้งชื่อถนน การสร้างอนุสรณ์สถาน ก็เป็นการให้เกียรติ แสดงความเคารพในศักดิ์ศรี
แต่อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการชดเชยเยียวยา กรณีที่รัฐจ่ายค่าทำศพ 250,000 บาทนั้น ก็มีการตั้งข้อสังเกตด้วยว่า หากในกรณีที่ศพถูกทำลายจะชดเชยอย่างไร
พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการ ศอ.บต.
และกรรมการเยียวยา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
"ถ้าไม่มีเรื่องเงินเยียวยา 7,750,000 บาทขึ้นมาเหตุการณ์ทุกอย่างก็จบไปแล้ว"
เหตุการณ์ในภาคใต้ต้องยอมรับว่า เรื่องความไม่เป็นธรรมมีอยู่จริง รัฐจึงต้องเข้าไปเยียวยา โดยเฉพาะเรื่องของความรู้สึกที่ไม่เป็นธรรม ถ้าไม่มีเรื่องเงินเยียวยา 7,750,000 บาทขึ้นมาเหตุการณ์ทุกอย่างก็จบไปแล้ว เพราะตามหลักศาสนาอิสลาม ความเป็นความตายเป็นไปตามลิขิตของอัลเลาะห์ ทุกคนก็จะนิ่งหมด
ขณะนี้ยอดผู้เสียชีวิตในภาคใต้มีจำนวนประมาณ 5,000 คน ผู้บาดเจ็บหรือตายทั้งเป็นประมาณ 10,000 คน อีกทั้งยังมีเด็กกำพร้า ผู้ที่ขาดคู่สมรส คนพิการ ซึ่งคนกลุ่มดังกล่าวมีความรู้สึกว่า รัฐบาลไม่ดูแล อย่างเช่นกรณีกรือเซะ ขณะนี้ก็ยังไม่ได้รับการเยียวยา เพราะกฎระเบียบเดิมไม่มี แต่เมื่อศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เข้าไปทำหน้าที่ได้มีการมอบหมายให้คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด ศึกษาถึงแนวทางการเยียวยาว่าเป็นควรเป็นเงินจำนวนเท่าไหร่
ซึ่งพบว่าในประเทศซาอุดิอาระเบีย กำหนดให้จ่ายค่าชดเชยเป็นอูฐ 100 ตัว มูลค่าประมาณ 4 ล้านกว่า ซึ่งก็ใกล้เคียงกับที่รัฐบาลกำหนดขณะนี้ แต่ หากจะเยียวยาผู้เสียชีวิตในภาคใต้ทั้งหมด อาจต้องใช้เงินสูงถึง 30,000 ล้านบาท อย่างไรก็ดี ถ้ามีการเยียวยาเกิดขึ้นจริงเหตุการณ์กรือเซะ สะบ้าย้อย ตากใบ ไอปาแย ต้องเป็นมาตรฐานเดียวกัน
ส่วนการยกฟ้องของศาล ซึ่งพบว่า ในปี 2554 ศาลชั้นต้นยกฟ้อง168 คดี คิดเป็น 78.5% ลงโทษ 40 คิดเป็น 18.69% ก็ต้องมีการเยียวยาในอีกมาตรฐานหนึ่ง เพื่อแก้ไขความรู้สึกที่ไม่เป็นธรรม
นางอลีเยาะ หะหลี ตัวแทนญาติผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์กรือเซะ เมื่อปี 2547
"คนเสื้อเหลือง เสื้อแดงได้ คนใต้ก็ควรได้เท่ากัน จะเจ๊งก็ต้องเจ๊ง เพราะเป็นคนไทยเหมือนกัน"
ปัญหาภาคใต้ในความเป็นจริงสามารถแก้ไขได้ แต่เมื่อมีเรื่องผลประโยชน์เข้ามาเรื่องเล็กก็กลายเป็นเรื่องใหญ่
กรณีกรือเซะ เป็นความเจ็บปวด ให้ความรู้สึกเหมือนกับเป็นคนต่างด้าวที่มาอาศัยอยู่ในประเทศไทย เนื่องจากที่ผ่านมาเคยได้รับการเยียวยาช่วยเหลือค่าจัดงานศพเพียง 20,000 บาท และช่วยทุนการศึกษาบุตรเท่านั้น ส่วนที่มีชีวิตอยู่มาได้ก็ด้วยเพราะการจ้างงาน
สำหรับเงินเยียวยาที่รัฐระบุตัวเลข 7,500,000 บาทนั้นคน เสื้อเหลือง เสื้อแดงได้เท่าไหร่ คนภาคใต้ก็ควรได้เท่ากัน จะเจ๊งก็ต้องเจ๊ง เพราะเป็นคนไทยเหมือนกัน แต่ประการสำคัญคือ ทำไปแล้วต้องคุ้ม ต้องได้ใจประชาชน และต้องคำนึงถึงประเทศด้วยว่า ถ้าใช้งบประมาณที่สูงขนาดนี้ เราจะเอาส่วนไหนของประเทศไปจำนำ