ผอ.ไบโอไทย ฉะนโยบายจำนำมัน-ยาง ทำลายตลาด ส่อเค้าคอร์รัปชั่น

“วิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ” เสนอนโยบายเกษตรควรสนับสนุนรายได้โดยตรงให้เกษตรกร เชื่อช่วยได้ทั่วถึงกว่า หวั่นหากรับจำนำ เงินจะไหลไปสู่พ่อค้าลานมัน แนะแปรรูปแบบวิสาหกิจชุมชน อย่าขายเป็นวัตถุดิบ
เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2555 คณะรัฐมนตรีสัญจร เห็นชอบให้รับจำนำหัวมันสำปะหลังสดเริ่มต้นที่กก.ละ 2.75 บาทโดยจะสิ้นสุดโครงการรับจำนำในเดือนพฤษภาคมนี้ ซึ่งราคารับจำนำจะเป็นในลักษณะขั้นบันได ซึ่งเดือนสุดท้ายจะรับจำนำที่ราคา 2.90 บาทต่อกิโลกรัม เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์-31 พฤษภาคม 2555 และกำหนดให้เกษตรกรจำนำมันสำปะหลังไม่เกิน 350,000 บาทต่อราย หรือไม่เกิน 250 ตัน โดยคาดว่าจะใช้วงเงินรวมกว่า 33,000 ล้านบาท
นายวิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ ผู้อำนวยการมูลนิธิชีววิถี (ไบโอไทย) กล่าวกับศูนย์ข่าวสารนโยบายสารธารณะ ถึงนโยบายรับจำนำมันสำปะหลังว่า ในสมัยรัฐบาลที่แล้วมีนโยบายประกันรายได้ โดยปี 2552/53 ประกันที่ 1.7 บาทต่อกก. และปี 2553/2554 ที่ราคา 1.90 บาทต่อ กก. อีกทั้งมีเงื่อนไขว่า เกษตรกรผู้มีสิทธิทำสัญญา เป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนผู้ปลูกมันสำปะหลัง มีการตรวจสอบปริมาณและรับรองความเป็นเกษตรกรอย่างถูกต้อง และจำกัดปริมาณที่ครัวเรือนละ 100 ตัน คิดเป็นเงินจ่ายชดเชยส่วนต่างราคาระหว่างราคาประกันกับราคาตลาดอ้างอิงวงเงิน เบื้องต้น 10,692 ล้านบาท
“ต้นทุนจากมติครม.เมื่อปี 2552 ใช้เกณฑ์ต้นทุนการผลิตเฉลี่ยทั้งประเทศ (กิโลกรัมละ 1.21 บาท) บวกค่าขนส่ง (กิโลกรัมละ 0.15 บาท) และคิดผลตอบแทนให้เกษตรกรร้อยละ 25 (กิโลกรัมละ 0.34 บาท) ซึ่งที่ผ่านมามันสำปะหลังมีปัญหาเพลี้ยแป้ง โดยผลสำรวจของ 4 สมาคมเชื่อว่า ผลผลิตมันสำปะหลังในปี 2552/53 น่า จะลดลงไปอีกไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10-20 จากผลผลิตที่คาดการณ์กันไว้ล่าสุดที่ตัวเลข 27.7 ล้านตัน หรือลดลงเหลือ 21-24 ล้านตัน”
นายวิฑูรย์ กล่าวถึงการรับจำนำเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่ไม่ยั่งยืนเพราะไม่ได้นำไปสู่การปรับโครงสร้างและประสิทธิภาพในการผลิต ปัญหาการจำนำคือเป็นการนำภาษีของประชาชนไปสนับสนุนผู้บริโภคในต่างประเทศ ทำลายกลไกการตลาด และเปิดช่องทางการคอร์รัปชั่นมากมาย ถ้าจำเป็นต้องเลือกนโยบายน่าจะออกแบบให้เป็นการสนับสนุนรายได้โดยตรงต่อเกษตรกรมากกว่า เพราะใช้เงินน้อยกว่า ไม่ทำลายกลไกตลาด กระจายไปสู่เกษตรกรรายย่อยได้มากกว่า
“เงินจะไหลไปสู่พ่อค้าลานมัน เพราะหัวมันอยู่ในมือพ่อค้าแล้ว เกษตรกรจะถูกสวมสิทธิ์ ลานมันจะได้ประโยชน์ โดยที่สำคัญที่สุดคือการนำเข้ามันสำปะหลังราคาถูกจากเพื่อนบ้าน โดยต้นทุนการผลิตมันของไทยอยู่ที่ 1.36 บาทต่อกิโลกรัม (ตัวเลขของรัฐรวมขนส่งปี 2552) แต่ของกัมพูชาอยู่ที่ 0.62 บาทต่อกิโลกรัม (รวมขนส่ง) เท่ากับเป็นการสนับสนุนเกษตรกรในต่างประเทศด้วย”
นายวิฑูรย์ กล่าวด้วยว่า ทางออกสำหรับกรณีนี้ ควรแปรรูปมันสำปะหลังในรูปวิสาหกิจชุมชนอย่าขายเป็นวัตถุดิบเด็ดขาด เช่น นำมันสำปะหลังผลิตเป็นผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์ ไบโอพลาสติค หรือแอลกอฮอล์ และปรับเป็นการผลิตแบบผสมผสาน เพิ่มการผลิตอาหารในไร่มันทั้งเพื่อกินในครอบครัวและ เพื่อขายเพราะแนวโน้มสินค้าอาหารมีราคาแพง เป็นการลดค่าใช้จ่ายของครอบครัว และลดความเสี่ยง รวมทั้ง ลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มประสิทธิภาพใช้อินทรีย์วัตถุ และปุ๋ยชีวภาพแต่ไม่ใช่ที่โฆษณาว่าได้รายได้ไร่ละแสนซึ่งเป็นการโฆษณาเกินจริงและอาจแอบอ้างขายจุลินทรีย์ราคาแพงทั้งๆ ที่ทำเองได้
สำหรับประเด็นการรับจำนำยางพารา นายวิฑูรย์ กล่าวว่า เป็นโครงการระยะสั้น ที่แทรกแซงระบบตลาดของยางพารา โดยการรับซื้อไปเก็บเข้าสต๊อกของรัฐ การที่รัฐบาลไปทำสัญญาซื้อขายยางล่วงหน้าในราคาต่ำ ทั้งนี้ เรื่องปัญหาราคาผลผลิตการเกษตร ควรจะแก้ที่เชิงโครงและแก้ในระยะยาว ไม่อย่างนั้น รัฐบาลจะต้องใช้งบประมาณมหาศาลในการรับจำนำ ซึ่งเป็นการทำลายโครงสร้างตลาด โดยนำเงินภาษีของประชาชนไปรับซื้อ
