"ธีระชัย" แฉต่อ "โต้งบิดข้อมูลออก พ.ร.ก."
อดีต รมว.คลัง ซัด "กิตติรัตน์" อ้างสัดส่วนภาระหนี้สูงเกินจริง สร้างเหตุออก พ.ร.ก. โอนหนี้ เตือน พ.ร.ก. 4 ฉบับ เป็นโมฆะ
นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีต รมว. คลัง ที่เพิ่งพ้นจากตำแหน่ง ได้เขียนข้อความบนเฟซบุ๊กส่วนตัว Thirachai Phuvanatnaranubala ล่าสุดเมื่อวันที่ 23 ม.ค.55 เวลา 15.17 น. ใจความว่า...
- ผมมีปัญหาเกี่ยวกับตัวเลขอัตราส่วนภาระหนี้ต่องบประมาณ ซึ่งทำให้ผมอึดอัดมาก และต้องขอระบายความในใจไว้ ณ ที่นี้
- ในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 มกราคม 2555 ซึ่งรองนายก (นายกิตติรัตน์) ได้เสนอร่างพระราชกำหนด 4 ฉบับต่อ ครม. เป็นครั้งแรก และต่อมาวันที่ 10 มกราคม 2555 เลขาธิการกฤษฎีกาได้เสนอร่างที่แก้ไขปรับปรุงนั้น รองนายก (นายกิตติรัตน์) ได้แจ้งว่าจำเป็นต้องออกกฎหมายดังกล่าวในรูปแบบพระราชกำหนดแทนที่จะเป็นพระ ราชบัญญัติ เพราะมีเหตุที่เร่งด่วน
- เหตุผลที่ชี้แจงข้อหนึ่งคือหากไม่ดำเนินการโดยเร่งด่วน จะเกิดปัญหาขึ้นแก่อัตราส่วนภาระหนี้ต่องบประมาณ
- ภาระหนี้ต่องบประมาณนั้น คืออัตราส่วนเงินที่ชำระหนี้เงินกู้และดอกเบี้ยหนี้สาธารณะที่เกิดขึ้นในปี งบประมาณแต่ละปี เมื่อคิดเป็นสัดส่วนของงบประมาณในปีนั้น ไม่ควรจะเกินร้อยละ 15 ของงบประมาณ ซึ่งกรอบนี้เรียกว่ากรอบความยั่งยืนทางการคลัง
- รองนายก (นายกิตติรัตน์) แจ้งคณะรัฐมนตรีว่าขณะนี้อัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ร้อยละ 12 จึงมีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องแก้ไขปัญหาหนี้กองทุนฟื้นฟู เพื่อมิให้ภาระดอกเบี้ยสำหรับหนี้กองทุนฟื้นฟู เป็นภาระแก่งบประมาณต่อไป มิฉะนั้นจะไม่มีช่องว่างพอเพียง ที่รัฐบาลจะกู้ยืมเพิ่มเติมเพื่อใช้บริหารจัดการน้ำ
- ผมได้ทราบภายหลังว่ารองนายก (นายกิตติรัตน์) ได้ข้อมูลนี้ไปจากสภาพัฒน์ ซึ่งเจ้าหน้าที่สภาพัฒน์ได้คำนวณโดยใช้ตัวเลขจากประมาณการเศรษฐกิจ และในการประชุมคณะรัฐมนตรีทั้งสองครั้ง เลขาธิการสภาพัฒน์ซึ่งนั่งอยู่ในห้องประชุมด้วย ก็มิได้แก้ไขข้อมูลนี้เป็นอย่างอื่น
- ตัวของผมเองก็ได้ใช้ตัวเลขร้อยละ 12 ดังกล่าวในการอธิบายต่อสื่อโทรทัศน์และสื่อสิ่งพิมพ์หลายแห่ง ซึ่งโทรทัศน์หลายรายการก็ปรากฏหลักฐานอยู่ใน facebook ของผมนี้
- อย่างไรก็ดี ก่อนหน้าที่ผมจะพ้นตำแหน่งเพียงหนึ่งวัน เจ้าหน้าที่ของกระทรวงการคลังได้นำข้อมูลจากสำนักบริหารหนี้สาธารณะมาแจ้ง ให้ผมทราบว่า สำหรับปีงบประมาณ 2555 นั้น อัตราส่วนดังกล่าวเป็นเพียงร้อยละ 9.33 มิใช่ร้อยละ 12 ดังที่รองนายก (นายกิตติรัตน์) แจ้งต่อคณะรัฐมนตรี
- อัตราส่วนดังกล่าวเกิดจากการชำระหนี้เงินต้นร้อยละ 1.97 และจากการชำระดอกเบี้ยร้อยละ 7.36 รวมเป็นร้อยละ 9.33 และเป็นการคำนวณจากตัวเลขที่เป็นทางการในกฎหมายงบประมาณที่เพิ่งผ่านสภาไป เร็วๆ นี้
- ผมเองต้องยอมรับว่าตกใจมากเพราะทำให้เหตุผลความจำเป็นเร่งด่วนในการที่จะต้องออกกฎหมายในรูปแบบพระราชกำหนดเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
- แต่เนื่องจากการทำงานของสภาพัฒน์นั้นขึ้นกับรองนายก (นายกิตติรัตน์) มิได้ขึ้นกับกระทรวงการคลัง ผมจึงยังไม่สามารถสาเหตุได้ว่าทำไมตัวเลขของสองหน่วยงานจึงได้แตกต่างกันมาก เช่นนี้ และผมก็พ้นจากตำแหน่งไปเสียก่อน
- ผมจึงขอเสนอรองนายก (นายกิตติรัตน์) ผ่าน facebook หน้านี้ เนื่องจากต่อไปนี้ท่านจะกำกับดูแลทั้งสภาพัฒน์และสำนักบริหารหนี้สาธารณะ แล้ว ท่านจึงควรจะให้มีการศึกษาเปรียบเทียบตัวเลข และวิธีการเก็บข้อมูล รวมถึงวิธีคำนวณของทั้งสองหน่วยงาน เพื่อให้ปรากฏตัวเลขที่ถูกต้องในการปฏิบัติให้เป็นไปตามเงื่อนไขของรัฐ ธรรมนูญ
- นอกจากนี้ เนื่องจากรัฐบาลได้เสนอหลักการและเหตุผลสำหรับพระราชกำหนดทั้ง 4 ฉบับ ในลักษณะที่เป็นเรื่องเดียวกันที่ผูกโยงไว้ด้วยกัน โดยใช้ข้อความเดียวกันทุกประการทั้ง 4 ฉบับ ดังนั้น หากมีการตีความว่าฉบับใดฉบับหนึ่งไม่เป็นไปตามเงื่อนไขของรัฐธรรมนูญ ก็มีความเสี่ยงสูงที่จะทำให้พระราชกำหนดทั้ง 4 ฉบับติดขัดไปด้วยพร้อมกัน
- ผมคิดว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องด่วนที่สำคัญที่สุดสำหรับท่านรัฐมนตรีว่าการกระทวงการคลังคนใหม่นะครับ . ![]()
