สร้างแก่งเสือเต้นได้ไม่คุ้มเสีย “มิ่งสรรพ์” ชี้บรรเทาน้ำท่วมเพียง 4-5%

นสธ.เปิดผลสำรวจการจัดการน้ำท่วม พบคนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะชาวนนทบุรีค้านมาตรการป้องกัน กทม.ชั้นใน จี้รบ.เร่งทำความเข้าใจปชช.หากช่วยศก.เท่ากับไม่ต้องแบกรับภาษีสูงขึ้น
วันที่ 24 มกราคม แผนงานสร้างเสริมนโยบายสาธารณะที่ดี (นสธ.) โดย ศ.ดร.มิ่งสรรพ์ ขาวสะอาด ผอ.นสธ. แถลงรายงาน “ผลสำรวจความคิดเห็นประชาชน การจัดการอุทกภัยที่เกิดขึ้นในเขต กทม. และปริมณฑล ปี พ.ศ. 2554” ณ ห้องประชุมเป็นสุข 1 ชั้น 35 อาคาร เอส เอ็ม ทาวเวอร์ (สสส.)
ศ.ดร.มิ่งสรรพ์ กล่าวว่า การสำรวจความคิดเห็นประชาชนในครั้งนี้ เพื่อนำไปสู่มาตรการและวิธีการจัดการน้ำท่วม และแนวทางจัดการปัญหาน้ำท่วมในอนาคต โดยทำการศึกษาจากความคิดเห็นประชาชน 3,048 คน แบ่งเป็น กรุงเทพฯ 2,154 คน จ.นนทบุรี 465 คน และ จ.ปทุมธานี 429 คน ซึ่งกลุ่มตัวอย่างที่อาศัยในกรุงเทพฯ 52.7% น้ำไม่ท่วมที่อยู่อาศัย ขณะที่ใน จ.นนทบุรี และ จ.ปทุมธานี 75% น้ำท่วมที่อยู่อาศัยแต่ไม่เข้าตัวอาคาร พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับมาตรการป้องกันน้ำท่วมพื้นที่กรุงเทพฯ ชั้นใน โดยคนกรุงเทพฯ เห็นด้วยเพียง 44.8% คนปทุมธานี เห็นด้วย 50.3% และคนนนทบุรี เห็นด้วยเพียง 32.3%
“เหตุผลที่มากกว่าครึ่งของคนนนทบุรีที่ไม่เห็นด้วยกับการป้องกันกรุงเทพฯ ชั้นใน เป็นเพราะการสื่อสารกับประชาชนที่ใช้วิธีการบอกว่าเพื่อการป้องกันพื้นที่เศรษฐกิจกรุงเทพฯ ทำให้คนคิดว่าเป็นการปกป้องคนรวย เพราะคนไทยไม่แยกเศรษฐกิจกับธุรกิจ ทั้งที่เรื่องเศรษฐกิจเป็นเรื่องของคนทุกคน การป้องกันกรุงเทพฯ ชั้นในเป็นการป้องกันทุกคน การสื่อสารกับประชาชนจึงเป็นเรื่องสำคัญ ทั้งนี้ หากเราปล่อยให้น้ำท่วมหมดทุกพื้นที่ ต้นทุนการแบกรับภาษีของทุกคนจะสูงไปกว่านี้”
ศ.ดร.มิ่งสรรพ์ กล่าวต่อว่า ผลสำรวจถึงการรับรู้ต่อมาตรการและวิธีการจัดการน้ำท่วมในท้องถิ่น พบว่า การเฝ้าระวังและเตือนภัยเป็นสิ่งที่กลุ่มตัวอย่างมีความรับรู้มากกว่า 50% มาตรการดูแลระหว่างน้ำท่วม มีความรับรู้ประมาณ 20-30% มาตรการเตรียมรับมือน้ำท่วมมีการรับรู้ 10-16% และมีกลุ่มตัวอย่าง 5% ที่ไม่รับรู้ถึงการเตรียมการใดๆ เลย
ในส่วนผลสำรวจความเห็นเรื่องหน่วยงานที่ให้การดูแลประชาชน ศ.ดร.มิ่งสรรพ์ กล่าวว่า กลุ่มตัวอย่างทั้ง กรุงเทพฯ และนนทบุรี เห็นตรงกันว่า หน่วยงานทหารมีประสิทธิภาพในการดุแลประชาชนมากที่สุด ในขณะที่กลุ่มตัวอย่างในปทุมธานี เห็นว่าองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีประสิทธิภาพในการดูแลประชาชนมากที่สุด และรับรู้ข่าวสารทางตรงจากเสียงตามสาย และรถกระจายเสียงรองจากสื่อโทรทัศน์
“ผลสำรวจแนวทางการแก้ปัญหาในอนาคต กลุ่มตัวอย่างมากกว่า 60% เห็นด้วยกับมาตรการด้านการลงทุนและก่อสร้าง เช่น สร้างระบบแก้มลิง ระบบระบายน้ำขนาดใหญ่และระบบคลองย่อย ขณะที่กลุ่มตัวอย่างที่เหลือ เห็นด้วยกับมาตรการที่ไม่ใช่การลงทุนก่อสร้าง เช่น การควบคุมการใช้ที่ดิน การจัดการความขัดแย้ง และการจัดตั้งองค์กรอิสระขึ้นมาดูแลปัญหาน้ำท่วมอย่างบูรณาการ โดยกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ 35-49% ไม่ต้องการจ่ายเงินในการสนับสนุนก่อสร้างเพื่อป้องกันน้ำท่วม ทั้งนี้ กลุ่มตัวอย่างมากกว่า 55% เห็นว่าภาครัฐควรให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยตามหลักเกณฑ์ที่ว่า ผู้ที่ถูกน้ำท่วมนานกว่า ควรได้รับการสงเคราะห์มากกว่า”
ศ.ดร.มิ่งสรรพ์ กล่าวถึงข้อเสนอแนะภายหลังจากการสำรวจว่า รัฐบาลควรให้ความรู้ความเข้าใจถึงความสำคัญในการป้องกันพื้นที่กรุงเทพฯ ชั้นใน ว่าไม่ใช่เป็นเรื่องของเศรษฐกิจ แต่เป็นเรื่องของการคุ้มครองชีวิตคน 5-6 ล้านคน และต้องให้ความสำคัญกับการสนับสนุน อปท. ให้มีบทบาทสูงในการรับมือกับอุทกภัย ด้วยการสนับสนุนให้มีการเตรียมการป้องกันน้ำท่วมในระดับท้องถิ่นให้มากขึ้น เนื่องจากเป็นหน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญในระดับพื้นที่ ซึ่งใกล้ตัวประชาชนมากที่สุด
“ควรเพิ่มช่องทางการรับรู้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับน้ำท่วมนอกจากโทรทัศน์ โดยเฉพาะพื้นที่ที่ห่างไกลการใช้เทคโนโลยี เช่น การส่งข้อความผ่านโทรศัพท์มือถือ หรือการสื่อสารโดยตรง ทั้งนี้ สื่อมวลชนควรให้ความรู้ความเข้าใจของประชาชนเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับ ความสำคัญของมาตรการที่ไม่ใช้สิ่งก่อสร้าง เช่น การควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดิน การกำกับที่ตั้งและลักษณะของอาคารในพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซาก เพราะเป็นมาตรการที่ต้องอาศัยการมีส่วนร่วมของประชาชน และควรพิจารณาเกณฑ์ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยตามระยะเวลาที่ถูกน้ำท่วมหลักการผู้ได้รับประโยชน์เป็นผู้จ่าย โดยให้ผู้รับประโยชน์จากการป้องกันน้ำท่วม โดยไม่ผลักภาระให้ประชาชนทั่วประเทศที่ไม่ได้ผลประโยชน์จากอภิมหาโครงการ”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงท้าย ศ.ดร.มิ่งสรรพ์ ตอบข้อซักถามถึงความเห็นต่อแนวทางบริหารจัดการและแก้ปัญหาน้ำท่วมของรัฐบาลว่า เห็นด้วยในการจัดทำเส้นทางให้น้ำผ่าน แต่ในการลงทุนมีความคุ้มทุนที่ต่างกัน หากจัดทำฟลัดเวย์ที่ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการดูแล ก็จะมีการลงทุนต่ำกว่าและไม่เกิดการทำลายหรือลุกล้ำ
“ทั้งนี้ ไม่เห็นด้วยให้ทำฟลัดเวย์ใต้ดิน เพราะมีการลงทุนที่สูงมาก และไม่รู้ว่ากี่ชาติจึงจะใช้หนี้หมด ฉะนั้น วิธีการทำทำฟลัดเวย์ควรจะยึดแนวคิดว่าใช้เงินน้อย แต่ให้ประชาชนมีส่วนร่วมมาก เป็นการลงทุนที่ยั่งยืน เพราะการดูแลเป็นเรื่องสำคัญกว่า ไม่อย่างนั้นเงินที่ลงทุนไปก็จะลอยไปกับน้ำ”
สำหรับข้อซักถามเรื่องการก่อสร้างเขื่อนแก่งเสื้อเต้น ศ.ดร.มิ่งสรรพ์ กล่าวว่า ผลการศึกษาเดิมของโครงการในปี พ.ศ. 2541 สามารถบรรเทาปัญหาได้เพียง 4-5% ได้ประโยชน์โดยรวมเพียง 1:1 ซึ่งหมายความว่า ลงทุนเท่าใดได้ผลตอบแทนเท่านั้น แต่จะเสียค่าเหนื่อย และยังไม่รวมความสูญเสียทางสิ่งแวดล้อม ฉะนั้น หากจะมีการก่อสร้างต้องทำการศึกษาใหม่หรือเพิ่มเติม
“ขณะนี้เขื่อนใหญ่ๆ ที่ควรสร้างได้สร้างไปหมดแ้ล้ว แต่ควรพิจารณามาตรการที่ไม่ใช้สิ่งก่อสร้างอย่างเร่งด่วนจริงจัง เช่น พื้นที่ชุ่มน้ำที่เป็นที่ราชพัสดุ สามารถนำมาทำเป็นแก้มลิงได้ และไม่กระทบต่อประชาชน รวมทั้ง จัดทำผังภาคในการใช้ประโยชน์ที่ดิน และไม่ควรเปลี่ยนบ่อยๆ หรือเปลี่ยนไปตามผู้ที่มีอำนาจ” ศ.ดร.มิ่งสรรพ์ กล่าว และว่า ได้เสนอให้จัดตั้งองค์กรอิสระดูแลบริหารจัดการน้ำ ที่เป็นองค์กรทำงานได้โดยไม่มีการเมือง หรือนักการเมืองมาเกี่ยวข้องและสั่งการได้ เพื่อให้สามารถช่วยเหลือคนที่ควรช่วยและจำเป็นต้องช่วยก่อน ไม่ใช้ระบบพวกพ้อง และต้องเป็นหน่วยงานเน้นการที่ให้ข้อมูลกับภาคประชาชน โดยให้ขึ้นตรงกับนายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียว เพื่อให้สามารถตัดสินใจและสั่งการรื้อถอนพื้นที่ที่ขวางทางน้ำ ตาม มาตรา 31 พ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยฯ ได้
ข้อมูลผลสำรวจเพิ่มเติม
สรุปผลการสำรวจความคิดเห็นประชาชนการจัดการอุทกภัยที่เกิดขึ้นในเขต กทม. และปริมณฑล ปี พ.ศ. 2554
