นักวิชาการทีดีอาร์ไอ เปิดตำราสอนนักการเมือง ประชานิยมดีต้อง "จิ๋วแต่แจ๋ว-ถอยหลัง-แปลงร่างได้"
ดร.สมชัย เผยไทยประสบความสำเร็จลดความยากจน แต่ล้มเหลวลดความเหลื่อมล้ำ ชี้ความเหลื่อมล้ำเป็นบ่อเกิดของประชานิยม แนะหากนักการเมืองมองขาด ควรจะใช้นโยบายคล้ายกับ 30 บาทรักษาทุกโรค
วันที่ 24 มกราคม คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต จัดงานสัมมนาวิชาการ “เศรษฐกิจการเมือง ของความเหลื่อมล้ำ” โดยมี ดร.สมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ร่วมบรรยาย ณ ห้องประชุม ศ.424 ป๋วย อึ๊งภากรณ์ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต
ดร.สมชัย กล่าวตอนหนึ่งว่า ระยะเวลา 50 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจของประเทศไทยเป็นเศรษฐกิจที่มีการเจริญเติบโตที่ดี เฉลี่ยอยู่ที่ 6.2% ซึ่งเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างสูง นั่นหมายความว่า ประเทศไทยประสบความสำเร็จพอสมควรในการลดความยากจน ทำให้มีคนจนน้อยลง แต่ทั้งนี้ สิ่งที่ไทยยังไม่ประสบความสำเร็จนั่นคือการลดความเหลื่อมล้ำ
“เมื่อเปรียบเทียบส่วนแบ่งรายได้คนรวยและคนจน ผลที่ออกมาคือประเทศไทยมีความเหลื่อมล้ำมากที่สุดประเทศหนึ่งทั้งในภูมิภาคเอเชียและระดับโลก โดยคนรวยมีส่วนแบ่งรายได้ 58.6% ของรายได้ทั้งหมดของคนในประเทศ ในขณะที่คนจนมีส่วนแบ่งรายได้อยู่ที่ 3.9% ของรายได้ทั้งหมดของคนในประเทศ”
ดร.สมชัย กล่าวถึงการเมืองและความเหลื่อมล้ำ มีความเชื่อมโยงกัน ซึ่งสิ่งหนึ่งที่เกิดจากความเชื่อมโยงนี้คือ ประชานิยม ซึ่งจะเห็นว่าความเหลื่อมล้ำเป็นบริบทที่ทำให้ประชานิยมยั่งยืนและเฟื่องฟู โดยจากข้อสังเกตที่ว่าประชานิยมมักจะเฟื่องฟูในประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำสูง ยกตัวอย่างเช่น ละตินอเมริกา ที่เป็นประเทศของประชานิยมในอันดันต้นๆของโลก ก็จะมีความเหลื่อมล้ำสูงด้วย
“กลไกประชานิยมที่เป็นเครื่องมือทางการเมือง คือ เป็นกระบวนการที่เอาใจคนรากหญ้า ด้วยการที่ใช้ทรัพยากรทางการเงินในรูปของภาษีจากคนชนชั้นกลางขึ้นไปมาให้คนระดับล่าง ซึ่งแน่นอนว่า โมเดลทางการเมืองแบบนี้จะใช้ได้ก็ต่อเมื่อต้องมีคนที่ได้ประโยชน์ระดับล่างจำนวนมาก ก็จะทำให้เป็นผู้ชนะจากการเลือกตั้ง” ดร.สมชัย กล่าวและว่า เมื่อเกิดประชานิยมแล้วมีความเป็นไปได้ 2 แบบ คือ 1.สามารถลดความเหลื่อมล้ำให้น้อยลงได้จริง อาจเป็นไปได้ว่าประชานิยมจะหายไปได้ด้วยตัวมันเอง
“อีกแบบหนึ่งคือ ประชานิยมจำเป็นต้องหยุดเพราะว่าหมดตัว หมายถึง ภาระการคลังรับไม่ไหว จนทำให้ต้องยกเลิกหรือหยุดประชานิยมลงไป แต่ทั้งนี้สามารถกลับมาใหม่ได้อีก เนื่องจากบริบทของประชานิยมยังมีอยู่ในสังคม"
ทั้งนี้ ดร.สมชัย กล่าวถึงคุณสมบัติของนโยบายประชานิยมที่ดี 3 ข้อ คือ 1.จิ๋วแต่แจ๋ว คือ การใช้เงินไม่มากแต่ลดความเหลื่อมล้ำได้ดีและถาวร 2.ถอยหลังได้ คือ เป็นมาตรการชั่วคราวที่สามารถเลิกได้ ไม่เสพติด เพราะถ้าเสพติดจะส่งผลให้การคลังรับภาระไม่ไหวอย่างรวดเร็ว และเข้าสู่วงจรที่แย่ เพราะไม่สามารถที่จะถอยหลังได้ ซึ่งปัจจุบันมีหลายเรื่องที่เข้าข่ายถอยหลังไม่ได้ เช่น จำนำข้าว ที่ไม่มีการถอยหลังแต่กลับเดินหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ 3.แปลงร่างได้ คือ การที่สามารถพัฒนาประชานิยมให้เป็น “สวัสดิการสังคม” ที่รับรองสิทธิ์ของประชาชนทุกคน เช่น 30 บาท รักษาทุกโรค ถือว่าเป็นสวัสดิการสังคม ถึงแม้จะออกมาในรูปแบบของประชานิยมในเริ่มแรก แต่มีลักษณะของสวัสดิการสังคม โดยลักษณะเช่นนี้เป็นลักษณะที่ดีถ้ามีการแปลงให้เป็นแบบสวัสดิการสังคมและจัดการบริหารให้ดีจะเป็นอะไรที่ดีกว่า
"ถ้านักการเมืองมองขาด ก็ควรจะใช้นโยบายคล้ายกับ 30 บาทรักษาทุกโรค เพราะ เชื่อว่านโยบายนี้เป็นตัวที่ทำให้ได้คะแนนเสียงมากกว่านโยบายประชานิยมอื่นๆ”
นอกจากนี้ ดร.สมชัย ได้เปรียบเทียบแนวทางประชานิยมและสวัสดิการสังคมไว้ว่า โดยปรัชญาพื้นฐานแล้ว ประชานิยมจะสร้างคะแนนนิยมทางการเมืองเป็นหลัก ในขณะเดียวสวัสดิการสังคมจะรับรองพื้นฐานและสิทธิในการพัฒนาศักยภาพของประชาชนดูแลในยามตกยาก นอกจากนี้ เมื่อเปรียบเทียบในแง่ของระบบเศรษฐกิจ ประชานิยมจะถูกแทรกแซงในเกือบทุกนโยบายประชานิยม แต่ส่วนของสวัสดิการจะปล่อยเป็นไปตามกลไกตลาด
“ยกตัวอย่างเช่น นโยบายจำนำข้าว ที่เป็นการแทรกแซงกลไกตลาดอย่างรุนแรง เป็นการทำลายกลไกการค้าข้าว ไม่ได้ช่วยในเรื่องของสวัสดิการของรากหญ้า เพราะคนที่ได้เงินจริงๆคือ ผู้ส่งออก เจ้าของโรงสี และนักการเมือง ฉะนั้นรอบใหม่ที่รัฐบาลประกาศว่า จะจำนำข้าวทุกเม็ดในราคาที่สูงกว่าตลาด 80% โดยถ้าสมมติให้มีข้าวในโครงการ 10 ล้านตัน จะต้องใช้เงินไม่ต่ำกว่า 2-3 แสนล้านบาทต่อปี ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงมาก แต่ทั้งนี้ น้ำท่วมที่ผ่านมาก็ทำให้ปริมาณข้าวในโครงการลดลง เป็นตัวช่วยรัฐบาลไว้ได้มาก เพราะปัจจุบันรัฐบาลถังแตก ไม่มีเงิน และไม่รู้จะหาเงินจากไหน จึงต้องหาวิธีล้วงจากที่อื่นๆแทนในการหาเงิน”
ดร.สมชัย กล่าวด้วยว่า ประเทศไทยมีนโยบายประชานิยมมากว่า 10 ปี แต่ผลสำเร็จยังไม่ชัดเจน ช่วยลดความยากจนได้เป็นครั้งคราว เช่น นโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค ที่เชื่อว่าสามารถลดความยากจนได้จำนวนหนึ่ง แต่นโยบายอื่นๆยังไม่ชัดเจน และมักไม่ยั่งยืน มีการเปลี่ยนแปลงไปตามกระแสของการเมือง ในขณะเดียวกัน สวัสดิการสังคม ถ้ามีการบริหารที่ดีจะสามารถลดความยากจนได้ถาวรและทั่วถึง จึงเป็นเหตุที่ว่า สวัสดิการเป็นแนวทางที่ประเทศเราควรปฏิบัติ
