ดร.บวรศักดิ์ ชี้อาจเกิดหายนะ หาก ปชช.มีส่วนร่วมอย่างไม่เหมาะสมในการจัดการน้ำ
เลขา
ฯ สถาบันพระปกเกล้า แนะ แผนแม่บทจะบรรลุสำเร็จได้ ต้องอาศัยการสร้างความรู้ความเข้าใจของภาคประชาสังคมช่วยผลักดัน พร้อมเปิดตัวเว็บไซต์ Peacetalk สร้างพื้นแสดงความคิดเห็น หวังช่วยลดความขัดแย้ง
วันที่ 25 มกราคม สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับสถาบันพระปกเกล้า โดยนักศึกษาหลักสูตรการเสริมสร้างสังคมสันติสุข รุ่นที่ 3 จัดเวที อาทรเสวนา “อภิมหาโปรเจกต์ สู้น้ำ: คิดดี คิดชอบ คิดรอบ หรือยัง?” โดยมี ศ.ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า กล่าวเปิดงาน ณ อาคารมหาจุฬาลงกรณ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ศ.ดร.บวรศักดิ์ กล่าวตอนหนึ่งถึงความเสียหายจากอุทกภัยในปี 2554 ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายอย่างมากต่อชีวิตและทรัพย์สินประชาชน และมีผู้เสียชีวิตจำนวนมากนั้น สาเหตุหลักเป็นผลจากการที่พื้นที่ป่าไม้ลดลงระบบนิเวศน์ถูกทำลาย องค์กรที่มีอำนาจบริหารจัดการน้ำทั้งระบบยังไม่มีประสิทธิภาพอย่างเพียงพอ รวมถึงเกิดความขัดแย้งในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำด้วย โดยเป็นความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างฝ่ายการเมืองกับฝ่ายประจำ และเป็นความขัดแย้งระหว่างจังหวัดน้ำท่วมและจังหวัดที่น้ำไม่ท่วม ไปจนถึงความขัดแย้งของคนที่ควบคุมการเปิดปิดประตูน้ำได้และไม่สามารถควบคุม ได้
"นอกจากนี้ยังมีความขัดแย้งระหว่างชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบและไม่ได้รับ ผลกระทบ สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า ความขัดแย้งในการบริหารจัดการน้ำยังมีสูง และปีนี้ก็เป็นที่คาดหมายว่า เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นอีก ฉะนั้นหากไม่มีการเตรียมการป้องกันอย่างดี รวมถึงการบริหารจัดการเราจะเห็นความขัดแย้งหนักขึ้นและมากขึ้นกว่าปี 2554” ศ.ดร.บวรศักดิ์ กล่าวและว่า ทุกวันนี้เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าความผิดพลาดอันเกิดจาการบริหารจัดการน้ำของ รัฐ เป็นที่มาของมหาอุทกภัย และประชาชนก็ได้รับบทเรียนแล้วว่า เมื่อใดก็ตามที่สามารถใช้กำลังปิดถนนได้ ผู้มีอำนาจในประเทศนี้ก็พร้อมที่จะอนุโลมตามนั้น
ศ.ดร.บวรศักดิ์ กล่าวต่อว่า แม้ว่ารัฐบาลได้จัดทำแผนแม่บทบริหารจัดกรน้ำ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในกรป้องกันน้ำท่วมในพื้นที่สำคัญและยังได้แต่งตั้ง คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบ การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) ขึ้น เพื่อวางระบบกรบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน ป้องกัน และลดผลกระทบจากอุทกภัยในอนาคต แต่ทั้งนี้ปัจจัยความสำเร็จดังกล่าว รัฐบาลเอง ก็ตระหนักและยอมรับว่า จำเป็นต้องอาศัยการบูรณาการการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนในสังคม
“การบริหารจัดการน้ำมีผลกระทบต่อประชาชนอย่างกว้างขวาง จึงจำเป็นที่เราต้องมีส่วนร่วมอย่างเหมาะสม เพราะหากมีส่วนร่วมไม่เหมาะสมจะสามารถนำมาซึ่งหายนะได้เหมือนกัน ทั้งนี้ยังต้องอาศัยความเชื่อมั่นจากนานาประเทศ บนพื้นฐานของการสร้างความรู้ความเข้าใจของภาคประชาสังคมเป็นปัจจัยสำคัญใน การผลักดันให้แผนแม่บทบรรลุสำเร็จ โดยเฉพาะแผนเร่งด่วน ซึ่งประกอบด้วยแผนจัดการน้ำเชิงวิศวกรรม อาทิ การบริหารน้ำในเขื่อน การสร้างขีดความสามารถระบายน้ำ การสร้างพื้นที่รับน้ำเป็นต้น”
นอกจากนี้ เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า กล่าวอีกว่า การบริหารจัดการน้ำดังกล่าวต้องอาศัยความรู้เข้ามาช่วยการในการบริหารจัดการ โดยต้องพยายามส่งเสริมให้ประชาชนในพื้นที่ต้นน้ำ มีความรู้ ความเข้าใจ เรื่องผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เข้าใจเรื่องการบริหารจัดการลุ่มน้ำ 25 ลุ่มน้ำ เร่งส่งเสริมการปลูกป่าตามแนวพระราชดำริ การชะลอน้ำ การสร้างฝายเพื่อไม่ให้น้ำไหลบ่าอย่างรุนแรง
“ในส่วนพื้นที่กลางน้ำ ก็ต้องเข้าใจเรื่องพื้นที่รองรับน้ำแก้มลิงหรือทางระบายน้ำหลาก(ฟลัดเวย์) ในขณะที่ประชาชนในพื้นที่ปลายน้ำ ต้องเตรียมความพร้อมรับผลกระทบจากการเร่งระบายน้ำและผลักดันน้ำสู่ทะเล และในกรณีที่ไม่สามารถบริหารจัดการน้ำได้ปัญหาที่จะเกิดตามมาก็คือ การบริหารความขัดแย้งของมวลชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ ดังที่เป็นข่าวปรากฏในหลายพื้นที่ในช่วงเกิดอุทกภัยที่ผ่านมา”
ทั้งนี้ ศ.ดร.บวรศักดิ์ กล่าวด้วยว่า การสื่อสารสังคมออนไลน์สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในด้านข่าวสารที่รวดเร็วหลาก หลาย และเป็นพื้นที่สาธารณะขนาดใหญ่เปิดโอกาสให้แสดงความคิดได้อย่างเสรี พร้อมแนะนำเว็บไซต์ www.peacetalk.in.th เครือข่ายสังคมออนไลน์ ของนักศึกษาหลักสูตรการเสริมสร้างสังคมสันติสุข รุ่นที่ 3 เพื่อให้เป็นพื้นที่จุดประกายความหวังและสร้างพลังในการขับเคลื่อนสังคมไทย ให้ผ่านพ้นปัญหาความขัดแย้ง เสริมสร้างสันติสุขด้วยแนวทางสันติวิธี และเพื่อเป็นประโยชน์ในการนำเสนอต่อรัฐบาลและผู้เกี่ยวข้องต่อไป
