“เสรี” ชี้แผนเร่งด่วน กยน.ทำไม่ทัน หากน้ำมาเท่าเดิมท่วมมโหฬาร!
กรรมการ กยน.คาดลานินญ่ากระทบไทยทำน้ำแล้ง เตือนปชช.อย่าใช้น้ำเพลิน ยันพายุเป็นตัวแปรให้น้ำท่วมกรุงปีนี้ “ปราโมทย์” ย้ำหลักคิดแก้น้ำท่วมพระราชทานจากในหลวงมีมา 30 ปีไม่มีใครทำ
วันที่ 25 มกราคม สถาบันเอเชียศึกษา ร่วมกับ สถาบันพระปกเกล้า โดยนักศึกษาหลักสูตรการเสริมสร้างสังคมสันติสุข รุ่นที่ 3 จัดเวที Peacetalk อาทรเสวนา “อภิมหาโปรเจกต์ สู้น้ำ : คิดดี คิดชอบ คิดรอบ หรือยัง?” ณ ห้อง 105 อาคารมหาจุฬาลงกรณ์ จุฬาฯ โดยมี รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ กรรมการ กยน. นายปราโมทย์ ไม้กลัด อดีตอธิบดีกรมชลประทาน และกรรมการมูลนิธิชัยพัฒนา และนพ.พลเดช ปิ่นประทีป คณะกรรมการ ThaiPBS ร่วมงาน
หากไม่แก้ที่ผังเมือง ฟลัดเวย์ก็ช่วยไม่ได้ 100%
รศ.ดร.เสรี กล่าวในหัวข้อ บทเรียนมหาอุทกภัยและภัยพิบัติประเทศไทย 2554 ว่า ในทางวิทยาศาสตร์ความเสี่ยงอุทกภัยในปี พ.ศ.2555 ไม่สามารถคาดการณ์วันเวลาได้อย่างชัดเจนว่าน้ำจะท่วมหรือไม่และเมื่อใด เพราะระยะเวลายาวนานเกินไป ในทางวิทยาศาสตร์สามารถคาดการณ์และจำลองสถานการณ์ได้ในระยะสั้นประมาณ 10 วัน เท่านั้น ไม่เหมือนหลักโหราศาสตร์
“หากปริมาณน้ำมาเท่าปีที่แล้ว จากการศึกษาแน่นอนว่า น้ำท่วมอย่างมโหฬารแน่นอน เพราะมาตรการเร่งด่วน 6 ข้อ ของคณะกรรมการ กยน.ไม่มีทางทำทันแน่นอน แค่จะเริ่มต้นเจรจาก็มีปัญหาแล้ว”
รศ.ดร.เสรี กล่าวถึงมูลเหตุน้ำท่วมครั้งที่แล้ว เนื่องจากไม่สามารถควบคุมปริมาณน้ำหลากทุ่งได้ และในปีนี้นักวิทยาศาสตร์ก็ยืนยันว่า ยังมีอิทธิพลลานินญ่าอยู่ ในกลางปีอาจมีโอกาสแล้ง ดังนั้น หากเราใช้น้ำเพลิน เมื่อถึงฤดูปลูกข้าวนาปี ช่วงปลายปีถึงปีหน้าจะแล้งแน่นอน หลังจากนั้นสถานการณ์ลานินญ่าจะค่อยๆ ลดอิทธิพลลง
“หากดูอิทธิจากลานินญ่า ในปีนี้ภาคเหนือและภาคกลางฝนจะน้อยในช่วงปลายปี แต่สิ่งที่เราคาดการณ์ไม่ได้ คือ พายุ ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าในปีนี้จำนวนพายุจะมากขึ้น และส่งผลกระทบต่อประเทศไทยประมาณ 5 ลูก ดังนั้น มีเพียงประเด็นเดียวที่จะทำให้น้ำท่วมกรุงเทพฯ ได้ คือ การเกิดพายุ ทำให้ประเทศไทยจำเป็นต้องติดตามแบบจำลองความเสี่ยงแต่ละทวีปให้ดี และตระหนักถึงฤดูแล้ง ฤดูฝนให้มีการบริหารจัดการแบบบูรณาการกัน”
ขาดระบบสนับสนุนการตัดสินใจ ทำแผนก็ไร้คำอธิบาย
รศ.ดร.เสรี กล่าวอีกว่า การที่ประเทศไทยประกาศว่าจะเป็นครัวของโลก แต่เราไม่มีแผนบริหารจัดการสำหรับภาคเกษตร คนไทยส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยได้รับข้อมูลข่าวสาร ทำให้ขาดการตระหนักและไม่ปรับตัว ส่วนรัฐบาลก็ให้ความสำคัญกับประชุมโลกร้อนมากเกินไป ทั้งที่แม้จะมีประเทศใดลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกได้ ก็จะมีผลในการลดโลกร้อนในอีกหลายร้อยปีข้างหน้า และไม่ได้หมายความว่า น้ำจะไม่ท่วมกรุงเทพฯ ดังนั้น เราควรหันมามองตนเองและหาทางจัดการความเสี่ยงในประเทศ
“ไทยไม่มีระบบสนับสนุนการตัดสินใจ จะทำแผนอะไรก็ไม่มีคำอธิบาย ทำให้ผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียไม่เข้าใจ ซึ่งเป็นประเด็นที่จุดให้ความขัดแย้งเกิดขึ้น” รศ.ดร.เสรี กล่าว และว่า การที่ภาคอุตสาหกรรมออกมาประกาศความมั่นใจว่า น้ำจะไม่ท่วมเขตพื้นที่อุตสาหกรรม โดยจะมีการสร้างกำแพงสูงนั้น เป็นสิ่งไม่ควร เพราะต่างชาติโดยเฉพาะชาวญี่ปุ่น เห็นว่า เรื่องธรรมชาติไม่มีความแน่นอน และคนก็คือโรงงาน ที่แม้จะป้องกันโรงงานได้ก็ไม่สามารถทำงานได้
“ก่อนหน้านี้ต่างชาติหลายประเทศพยายามยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือประเทศไทย ซึ่งขณะนี้สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติกำลังศึกษาว่า จะขอความร่วมมือจากประเทศใด แต่สิ่งที่เราได้รับวิจารณ์อย่างหนัก คือ การสื่อสารความเสี่ยงในประเทศเราแย่มาก”
กรรมการ กยน. กล่าวถึงผังเมืองประเทศไทยด้วยว่า มีการประกาศใช้เพียง 4 จังหวัดเท่านั้น เป็นที่น่าแปลกใจว่าอีกหลายจังหวัดเหตุใดยังไม่ประกาศใช้ เพราะหากรัฐบาลจะแก้ผังเมืองไม่ให้ท่วม จะต้องมีผังเมืองที่บังคับใช้และบังคับใช้ให้ได้จริงทั่วประเทศ
ทั้งนี้ ในส่วนของคณะกรรมการ กยน. ที่เพิ่งทำงานได้เดือนกว่าๆ นั้น รศ.ดร.เสรี กล่าวว่า คงไม่หาญกล้าออกพิมพ์เขียวได้ สำหรับแผนเร่งด่วน 6 ข้อ เช่น เรื่องจัดทำฟลัดเวย์ หรือแก้มลิง ภายในจังหวัดกำลังเริ่มเข้าไปเจรจา อย่างไรก็ตามหากไม่มีการแก้ปัญหาผังเมือง ต่อให้มีฟลัดเวย์ หรือแก้มลิงก็ไม่สามารถแก้ปัญหาน้ำท่วมได้อย่าง 100%
ปราโมทย์ แนะยึดยุทธศาสตร์ “สู้ภัย”
ขณะที่นายปราโมทย์ กล่าวถึงแนวทางพระราชดำริ และการบริหารจัดการน้ำ กรณีกรุงเทพฯ และปริมณฑล ว่า อุทกภัยในอดีตที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลได้รับผลกระทบรุนแรง คือ ปี พ.ศ.2485 ที่น้ำท่วมขังแช่อยู่นานหายเดือนทำลายเรือกสวนไร่นาและพืชผลต่างๆ ได้รับความเสียหายอย่างมาก ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงห่วงใยและพระราชทานพระราชดำริให้หาทางแก้ไขปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพฯและปริมณฑล ไว้ครั้งแรกในปี พ.ศ.2523 ให้เร่งระบายน้ำออกสู่ทะเล ผ่านตามคลองต่างๆ ด้านตะวันออกของกรุงเทพฯ และกำหนดเขตพื้นที่สีเขียว (Green Belt) ในพื้นที่ด้านตะวันออกของกรุงเทพฯ สามารถแปรสภาพได้เมื่อน้ำหลาก เป็นทางระบายน้ำ
นายปราโมทย์ กล่าวต่อว่า กระทั่งในปี พ.ศ.2533 ที่มีพายุเข้าประเทศไทยอย่างหนักบริเวณภาคกลางตอนล่างเหนือกรุงเทพฯ ก็ได้พระราชทานพระราชดำริไว้ว่า ให้ศึกษาทางระบายน้ำฉุกเฉิน “Green Belt” ขนาดกว้าง 1-2 กิโลเมตร ตามที่เคยพระราชทานไว้ว่ามีลู่ทางที่สามารถทำได้หรือไม่ โดยต้องสงวนไม่ให้มีการปลูกสิ่งกีดขวางทางน้ำไหลใดๆ นอกจากการทำนา
“พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเคยพระราชทานแนวคิดมีให้เร่งระบายน้ำออกจากทุ่งด้านตะวันออกของกรุงเทพฯ ไปลงแม่น้ำแม่น้ำบางปะกงหรือระบายลงสู่ทะเล โดยไม่กักกั้นไว้ และการระบายน้ำให้เน้นระบายไปตามพื้นที่ฟลัดเวย์ ที่ในสมัยรัชกาลที่ 5-6 ได้มีพระบรมราชโองการเวนคืนไว้แล้ว 30,000-40,000 ไร่ เป็นแนวทางไหล่บ่าตามธรรมชาติ จนขณะนี้หลักคิดได้พระราชทานมานานกว่า 30 ปีแล้ว แต่การปฏิบัติไม่เกิดขึ้น มีการเกี่ยงว่าใครจะเป็นแม่งาน”
นายปราโมทย์ กล่าวด้วยว่า การจัดการปัญหาอุทกภัยกรุงเทพและปริมณฑล ในปี พ.ศ.2555 จำเป็นต้องมีระบบป้องกันน้ำท่วมที่มีประสิทธิภาพ ยึดแนวพระราชดำริในปีต่างๆ เพื่อมาขับเคลื่อนและขยายผลอย่างเป็นรูปธรรม ยึดยุทธศาสตร์ “สู้ภัย” เป็นหลัก น้ำล้นตลิ่งให้ไหลไปตามฟลัดเวย์ตามแนวที่เหมาะสมและสามารถจัดการได้
“สิ่งก่อสร้างของฟลัดเวย์จะมีลักษณะอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับการศึกษา วิเคราะห์ทางวิศวกรรมและการมีส่วนร่วมของสังคม เมื่อมีฟลัดเวย์ที่สมบูรณ์แล้ว คันกั้นน้ำก็ต้องการเพียงเล็กน้อย และจะลดผลกระทบได้มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับการสื่อสารกับกลุ่มประชาชนด้านหน้าและหลังคันกั้นน้ำ ทั้งนี้ หลักคิดและแผนบริหารจัดการทั้งเร่งด่วนและระยะยาวที่นายกรัฐมนตรีประกาศออกมาก็ยังไม่ตกผลึกเพียงพอ ดังนั้น เรื่องเงินต้องไว้ทีหลัง รายละเอียดต้องชัดเจนก่อน ไม่อย่างนั้นไม่สามารถดำเนินการใดๆ ได้”
ด้านนพ.พลเดช กล่าวถึงการบริหารความขัดแย้งในภาวะวิกฤติ ว่า เหตุการณ์ความขัดแย้งในช่วงอุทกภัยปี พ.ศ.2554 เป็นการแก้ไขไปเองตามธรรมชาติ และสื่อมวลชนก็เป็นผู้รายงานสถานการณ์ และคลี่คลายความขัดแย้งได้โดยบังเอิญ
“สังคมไทยไม่เคยมีการออกแบบในการจัดการความขัดแย้งมาก่อน จากนี้เราควรเก็บบทเรียนมาเตรียมการแผนบริหารจัดการความขัดแย้งสำหรับภัยที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต โดยที่ต้องเริ่มต้นศึกษาธรรมชาติของคู่ขัดแย้ง ในระดับต่างๆ ที่มีการจัดการที่ต่างกัน และต้องมีนักจัดการความขัดแย้ง หรือนักสันติวิธี ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง และกระจายความคิดการจัดการความขัดแย้งแบบสันติวิธีแม่ในยามปกติ”
นพ.พลเดช กล่าวด้วยว่า สำหรับเจ้าหน้าที่ หรือผู้มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย ต้องเรียนรู้การไกล่เกลี่ยแต่ละสถานะตามธรรมชาติของคู่ขัดแย้ง และต้องมีการจัดการข้อมูล ความรู้และข้อเท็จจริงต่างๆ แบบกราฟฟิก ในส่วนสื่อมวลชน ที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างความเข้าใจ จึงต้องวางแผนในการช่วยเหลือและคลี่คลายปัญหาความขัดแย้งสู่สาธารณะล่วงหน้า
