ภาคเอกชน ชี้ ‘ทรัมป์’ ยกเลิก TPP ดันการค้าภูมิภาคโต
ดร.เบญจรงค์ ชี้ ‘ทรัมป์’ ยกเลิก TPP ดันการค้าในภูมิภาคโต ‘อาร์เซป’ กลับมารวมกลุ่ม ด้าน ดร.สุรงค์ จี้เร่งเดินหน้าไทยแลนด์ 4.0 หวั่นสหรัฐใช้นโยบายป้องกันการค้า

วันที่ 10 พฤศจิกายน 2559 ในงานสัมมนา “ทิศทางตลาดทุนและเศรษฐกิจไทย...หลังเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ และความเชื่อมั่นนักลงทุนปี 60” ณ ห้องประชุมศุกรีย์ แก้วเจริญ ชั้น 3 ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ถ.รัชดาภิเษก กรุงเทพฯ
ดร.ไพบูลย์ นลินทรางกูร นายกสมาคมวิเคราะห์การลงทุน กล่าวถึงการดำเนินนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนใหม่ โดยเชื่อว่า สิ่งที่ทรัมป์จะทำเป็นอันดับแรกมี 3 เรื่องคือ
1.เรื่องการลดภาษี ทั้งภาษีบุคคลธรรมดาและภาษีนิติบุคคล เพราะนโยบายนี้ได้เสียงได้ใจ น่าจะช่วยให้เศรษฐกิจสหรัฐดีขึ้น และยังเป็นนโยบายหนึ่งในไม่กี่เรื่องที่ทรัมป์เห็นสอดคล้องกับพรรรครีพับลิกัน ซึ่งแนวทางของพรรครีพับลิกันที่ผ่านมาคือ เน้นช่วยเหลือคนรวย
2.ยกเลิกข้อตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก หรือ (Trans-Pacific Partnership:TPP ) เพราะที่ผ่านมาโอบามาอยากทำ แต่รีพับลิกันคัดค้านมาตลอด หรือหากจะทำก็จะมีการปรับเปลี่ยนอย่างมาก ซึ่งถ้ายกเลิกไปก็เป็นผลดีกับประเทศไทย เพราะบ้านเราไม่ได้เป็นสมาชิก ขณะที่ในอาเซียนมี 4ประเทศที่เป็นสมาชิก ได้แก่ มาเลเซีย เวียดนาม สิงคโปร์ บูรไน
และ 3.ยกเลิกโครงการประกันสุขภาพ ‘โอบามาแคร์’ เพราะรีพับลิกันเห็นว่ามีปัญหาเรื่องใช้งบประมาณสูง และมีประชาชนอีกหลายคนที่ไม่อยู่ในระบบนี้ หรือหากจะดำเนินการต่อก็ต้องมีการปรับเปลี่ยนขนานใหญ่ ทั้งนี้ ในส่วนของนโยบายที่กระทบกับประเทศไทยมีเพียงเรื่องเดียวคือกรณี TPP
“ส่วนที่เห็นว่าทรัมป์จะไม่ทำตามที่หาเสียงไว้ ไม่ได้อยากทำอย่างมากมายเหมือนตอนหาเสียง ซึ่งจับสัญญานจากการตอบคำถามสื่อที่เมื่อโดนซักหนักๆ ก็ตอบไม่เหมือนกัน และยังเป็นเรื่องที่ทรัมป์ไม่เชี่ยวชาญ เพราะไม่ใช่นักการเมืองคือเรื่องนโยบายการต่างประเทศ ซึ่งเชื่อว่าทรัมป์คงไม่ใช้ไม่แข็งกับจีน หรือกรณีซีเรีย คงแตะเป็นลำดับท้ายๆ
"อีกเรื่องที่คาดว่าทรัมป์ยังไม่มีแผนชัดเจนแน่นอนคือเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) เพราะหากทำหนี้สหรัฐจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก"
อย่างไรก็ตาม ดร.ไพบูลย์ กล่าวด้วยว่า การที่ทรัมป์ได้รับตำแหน่ง ตลาดทุนมีการตอบรับอย่างดี เพราะเชื่อมั่นว่าทรัมป์คงมีวิธีของเขา และสิ่งที่ทรัมป์ดูอยากทำมากๆ คือเรื่องธุรกิจ
ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการก้าวเข้าสู่ตำแหน่งของทรัมป์ว่า จะมีผลกระทบกับตลาดทุนระยะสั้น ซึ่งคาดว่าไม่เกินหนึ่งสัปดาห์ แต่จะมีเพียงประเทศเดียวที่มีปัญหาระยะยาวคือ เม็กซิโก เพราะทรัมป์ไม่เห็นด้วยกับข้อตกลงการค้าเสรีนาฟตา (NAFTA) และถึงแม้ทรัมป์จะเห็นด้วยการค้าเสรี แต่ก็ระบุชัดว่าต้องเป็นข้อตกลงที่ดี (Good Deal) เนื่องจากที่ผ่านมาธุรกิจอเมริกาออกไปนอกประเทศ หรือไปเจรจามักอยู่ในข้างที่เสียประโยชน์ เพราะฉะนั้นกรณีนาฟตาต้องจัดการ
"ส่วนนโยบายอื่น เช่น TPP ทรัมป์พูดชัดว่าต้องยกเลิก และประเทศที่ได้เปรียบอเมริกาเอาเปรียบอเมริกาอย่างต่อเนื่องต้องดูแล เช่นกรณีจีน"
สำหรับประเทศไทยนั้น ดร.กอบศักด์ กล่าวว่า จะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เพราะบริษัทอเมริกาที่เข้ามาในไทยส่วนใหญ่เป็นไปในลักษณะเข้ามาผลิดและขายในเอเชีย ไม่ได้ส่งกลับประเทศ
ดร.กอบศักดิ์ ยังกล่าวอีกว่า การที่ทรัมป์เข้ามาในระยะแรกอาจมีความวุ่นวายเล็กน้อย แต่อาจไม่ได้แย่ เพราะทรัมป์แม้ไม่เก่งเรื่องการเมือง แต่มีความเข้าใจธุรกิจ มีมือเก๋าๆ ในพรรครีพับลิกันที่อยู่ใกล้ตัว ซึ่งอาจทำให้อเมริกาไปสู่ความรุ่งเรืองทางธุรกิจอีกรอบ ในอีก 3-4 ปีให้หลัง
ด้าน ดร.เบญจรงค์ สุวรรณคีรี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่และหัวหน้านักวิเคราะห์ ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบี กล่าวว่า นโยบายของทรัมป์ที่เป็นหัวใจสำคัญคือเรื่องอเมริกันต้องมาก่อน (America First) อาจไม่ใช่เรื่องแย่ อีกทั้งเรื่องนโยบายต้องเข้าใจว่าช่วงหาเสียงกับนโยบายที่จะแถลงต่อสภาคองเกรสจะแตกต่างกัน ดังนั้นต้องติดตามกันต่อไป เพราะนั่นจะเป็นการสื่อความต่อทั้งประเทศครั้งแรก อีกทั้งครั้งนี้สภาบนและสภาล่างยังเป็นรีพับลิกันจึงต้องยิ่งจับตามอง
"แต่สิ่งที่ต้องระวังคือเรื่องความผันผวนตลาดหุ้นสหรัฐ ซึ่งคาดว่าจะกินเวลาประมาณ 1 เดือน ทั้งนี้ แม้การเลือกตั้งจบลงแล้ว แต่ยังมีขั้นตอนการเมืองอื่นๆ อีกกว่าจะเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ ฉะนั้นอย่าพึ่งตื่นตระหนักกับนโยบายที่ทรัมป์หาเสียงมากเกินไป"
ดร.เบญจรงค์ กล่าวด้วยว่า ทรัมป์เน้นจัดการกับประเทศที่มีดุลการค้าเป็นบวกกับสหรัฐติดต่อกันหลายปี ซึ่งจากการตรวจสอบพบประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 12 โชคดีที่ไทยไม่ติด 1 ใน10 โดยจีนเป็นอันดับแรก รองมาคือเยอรมัน ญี่ปุ่น เกาหลี ตามลำดับ ซึ่งถ้าดูพบว่ามีประเทศในอาเซียนหลายประเทศเช่นกัน ส่วนอีกนโยบายที่จะมีผลต่อไทยและประเทศกลุ่มอาเซียน+6 หรืออาร์เซป (RCEP) คือกรณี TPP เพราะถ้า TPP หายไป จะทำให้การค้าในภูมิภาคนี้กลับมาโฟกัสที่อาร์เซปอีกครั้ง
ขณะที่ ดร.สุรงค์ บูลกุล นายกสมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย กล่าวถึงผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ ครั้งนี้ว่า มีปรากฏการณ์ที่แปลกและสังเกตได้ชัดเจนอยู่ 2 เรื่องคือ
1.การทำโพล ล้มเหลว กระบวนการวิธีการอาจไม่เวิร์คในยุคดิจิทัลที่คนตัดสินใจบนพื้นฐานของอารมณ์มากกว่าเหตุผล
และ 2.ทำให้เข้าใจธาตุแท้ของคนอเมริกันว่า ไม่ใช่ทุกคนคุ้นเคยกับชาวต่างชาติ จะมีแค่เมืองใหญ่ที่ผู้คนจะมีมิติมุมมองที่เป็นสากล (International) และพบว่าคนส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ 70% ไม่มีพาสปอร์ต คือไม่เคยเดินทาง เพราะฉะนั้นนโยบายต่างประเทศของสหรัฐจึงกระทบต่อการดำเนินนโยบายของประเทศ ส่วนประเด็นด้านเศรษฐกิจ จะกลับไปสู่ยุค 1970 คืออเมริกันใหญ่ ซึ่งอาจมีป้องกันการค้าการขาย ป้องกันเรื่องการแข่งมากขึ้น ซึ่งจะผลกระทบที่เราไม่ค่อยคุ้น ดังนั้นเรื่องไทยแลนด์ 4.0 ที่เราจะทำ จะต้องรีบดำเนินการ เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับการค้าในบ้านเรา
ดร.สุรงค์ กล่าวถึงการปรับแนวคิดเรื่องหลักเศรษฐกิจพอเพียงด้วยว่าใช้ในกรณีตลาดทุน หากยึดทางนี้แล้วไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ทำอะไร เรารอดอยู่แล้ว คือ 1. ทำเรื่องที่รู้ ที่เก่ง ไม่ใช่ทำทุกเรื่อง 2.ทำพอประมาณ ไม่ต้องทำใหญ่มาก และ 3.สร้างความคุ้มกัน ไทยแลนด์ 4.0 ต้องสร้างความเข้าว่า การทำธุรกิจวันนี้ต้องอยู่บนพื้นฐานความรู้ ถ้าทำได้เช่นนี้เราจะรอด โดยไม่ต้องไปห่วงสหรัฐว่าจะเป็นอย่างไร ส่วนตลาดหุ้นไทยมอวว่ายังมีความน่าสนใจ และในปัจจุบันมีความโปร่งใสมีธรรมาภิบาลมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ยังต้องพัฒนาปรับตัวให้บริษัทในตลาดทุนไทยทำธุรกิจที่โลกต้องการมากขึ้น เพื่อสร้างความมั่นคงและยั่งยืน
