ไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสถาบันผู้ตรวจการแผ่นดินโลก ครั้งที่ 11
ผู้ตรวจการแผ่นดิน เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับโลกของสถาบันผู้ตรวจการแผ่นดินระหว่างประเทศ ครั้งที่ 11(The 11th World Conference of the International Ombudsman Institute) ระหว่างวันที่ 13 - 19 พ.ย.นี้ เผยไทยได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพประชุมครั้งแรกในเอเชีย ยกระดับมาตรการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน -ป้องกันปราบปรามคอร์รัปชั่น ตามหลักธรรมาภิบาล มุ่งสร้างความเชื่อมั่นแก่นานาชาติ หนุนอุตสาหกรรมไมซ์ - ท่องเที่ยว

เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2559 เวลา 13.30 น. ณ ห้อง Riverside 5 ชั้น 2 โรงแรม รอยัล ออคิด เชอราตัน โฮเทล แอนด์ ทาวเวอร์ส พลเอก วิทวัส รชตะนันทน์ ผู้ตรวจการแผ่นดิน ปฏิบัติหน้าที่แทนประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน นายบูรณ์ ฐาปนดุลย์ ผู้ตรวจการแผ่นดิน Mr. John R. Walters ผู้ตรวจการแผ่นดินแห่งสาธารณรัฐ
นามิเบีย ดำรงตำแหน่งประธานสถาบันผู้ตรวจการแผ่นดินระหว่างประเทศ Dr. Günther Kräuter ผู้ตรวจการแผ่นดินแห่งออสเตรีย ปฏิบัติหน้าที่ตำแหน่งเลขาธิการสถาบันผู้ตรวจการแผ่นดินระหว่างประเทศ และนายรักษเกชา แฉ่ฉาย เลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ร่วมกันแถลงข่าวการจัดประชุมระดับโลกของสถาบันผู้ตรวจการแผ่นดินระหว่างประเทศ ครั้งที่ 11 (The11th World Conference of the International Ombudsman Institute)
พลเอก วิทวัส รชตะนันนทน์ เปิดเผยว่า สถาบันผู้ตรวจการแผ่นดินระหว่างประเทศ หรือ International Ombudsman Institute (IOI) ได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2521 (ค.ศ. 1978) เพื่อเป็นเวทีให้กับผู้ตรวจการแผ่นดิน
ทั่วโลกได้มีส่วนร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกัน เพื่อให้เกิดการพัฒนาองค์ความรู้ด้านผู้ตรวจการแผ่นดิน
การเสริมสร้างธรรมาภิบาล รวมทั้งการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ตลอดจนเป็นเวทีกลางที่เปิดโอกาสให้ผู้ตรวจการแผ่นดินแต่ละประเทศได้ขยายบทบาทของตนเองให้เป็นที่แพร่หลายในหมู่ประชาคมผู้ตรวจการแผ่นดินด้วยกัน ซึ่งจะเป็นการนำไปสู่ความร่วมมือที่เป็นประโยชน์มากขึ้น ปัจจุบันมีหน่วยงานที่เข้ามาเป็นสมาชิกของ IOI กว่า 100 ประเทศ
การทำงานของสถาบันผู้ตรวจการแผ่นดินระหว่างประเทศ มีแนวคิดและหลักการพื้นฐานในการให้ ความเคารพต่อหลักสิทธิมนุษยชนและสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐาน การยึดถือต่อหลักกฎหมาย การสร้างเสริมระบอบประชาธิปไตยที่มีประสิทธิภาพและรัฐบาลที่โปร่งใส มีสำนึกรับผิดชอบให้ความยุติธรรมแก่ทุกฝ่าย การประชุม 11th IOI World Conference ในประเทศไทยครั้งนี้ มีผู้เข้าร่วมกว่า 114 องค์กร จาก 6 ภูมิภาคทั่วโลก ได้แก่ Africa, Asia, Australasia & Pacific, Caribbean & Latin America, Europe และ North America นับเป็นเวทีการประชุมระหว่างประเทศที่สำคัญยิ่งต่อการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และประสบการณ์ด้านการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐของบุคลากรในแวดวงผู้ตรวจการแผ่นดิน โดยเฉพาะประเด็นเรื่อง วิวัฒนาการของผู้ตรวจการแผ่นดิน และความท้าทายในอนาคต เพราะจะทำให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาและปรับปรุงประสิทธิ ภาพ ทิศทาง และแนวโน้มในการตรวจสอบอำนาจรัฐ ยังผลให้ประชาชนได้รับการดูแลตามกรอบธรรมาภิบาลที่ดีมากขึ้น
นอกจากนี้ ยังเป็นโอกาสที่ประเทศ ไทยจะได้สร้างชื่อเสียงและเกิดภาพลักษณ์ที่ดีให้เป็นที่ประจักษ์ระดับนานาชาติ อีกทั้งยังเป็นการสนับสนุนอุตสาหกรรมไมซ์ (MICE Industry) ของประเทศไทยตามนโยบายภาครัฐ
ที่มุ่งหวังให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการจัดประชุม การท่องเที่ยว และการจัดนิทรรศการระดับโลกในภูมิภาคเอเชีย เพื่อเป็นการเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนต่างชาติ ด้านความมั่นคงและศักยภาพด้านเศรษฐกิจของประเทศไทย อีกทั้งเพิ่มรายได้และก่อให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียนภายในประเทศ พลเอกวิทวัส เปิดเผยอีกว่า การประชุมในครั้งนี้ จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “วิวัฒนาการของความเป็นผู้ตรวจการแผ่นดิน” หรือ “Evolution of Ombudsmanship” ซึ่งบทบาทของผู้ตรวจการแผ่นดินได้มีวิวัฒนาการในด้านรูปแบบและกรอบอำนาจหน้าที่ จากเดิมที่มุ่งเน้นการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐเป็นหลัก (Classical Ombudsman) มาเป็น Hybrid Ombudsman ที่ครอบคลุมภารกิจด้านอื่นควบคู่กันไป เช่น การตรวจสอบคุ้มครองสิทธิของประชาชน การต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น หรือผู้ตรวจการแผ่นดินที่ตั้งขึ้นมาเพื่อตรวจสอบเฉพาะทาง โดยการประชุมในครั้งนี้จะเปิดโอกาสให้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูล ประสบการณ์ อันเป็นประโยชน์ระหว่างผู้ตรวจการแผ่นดินประเทศสมาชิก เพื่อบรรลุเป้าหมายในการผลักดันบทบาทและแนวคิดผู้ตรวจการแผ่นดินให้แพร่หลายไปทั่วโลกในฐานะองค์กรที่มีประสิทธิภาพ
“ครั้งนี้ ถือเป็นการรวมตัวอย่างเป็นทางการขององค์กรผู้ตรวจการแผ่นดิน ซึ่งเป็นเวทีกลางใน การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้เชิงวิชาการและเชิงเทคนิค อันจะนำไปสู่การ ยกระดับการทำงานของแต่ละหน่วยงาน ในการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ เพื่ออำนวยความเป็นธรรมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนให้มีมาตรฐานสากลมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังเป็นโอกาสของฝ่ายไทยในการแสวงหาความร่วมมือกับประเทศต่าง ๆ ทั้งในระดับทวิภาคีหรือพหุภาคี เพื่อให้การทำงานขององค์กรผู้ตรวจการแผ่นดินมีความเชื่อมโยงกันในลักษณะเครือข่ายที่ร่วมกันช่วยเหลือเยียวยาประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมหรือเดือดร้อนจากการดำเนินการของรัฐ” พลเอกวิทวัส กล่าว
