โอบามา ทรัมป์ และการเมืองโลก
ถ้าสหรัฐปรับปรุงตัวเองให้กลับมาเข้มแข็งได้อีก ตามที่ทรัมป์คิดเอาไว้ การเผชิญหน้ากับสหรัฐในทางการต่างประเทศและการทหารก็อาจกลับมาอีก แต่ในระหว่างสี่ถึงแปดปีนี้โลกน่าจะสงบขึ้น ถ้าทรัมป์ทำเป็นจริงๆ โลกอาจจะดีขึ้น สหรัฐกับจีนน่าจะอยู่ด้วยกันได้ค่อนข้างดีในเอเชียและในโลก และไทยมีแต่จะได้จากมิตรสัมพันธ์ที่ดีของสองมหาอำนาจโลกนี้
ศ.ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ โพตส์บทความบนเฟซบุ๊กส่วนตัว AnekLaothamatas เรื่อง โอบามา ทรัมป์ และการเมืองโลก
--------
โอบามา ผู้ที่กำลังจะเป็นอดีตประธานาธิบดี เป็นผู้นำสหรัฐที่ถือว่าจีนคือคู่ปรับใหญ่ที่สำคัญที่สุดในโลกพยายามจะต่อสู้ ปิดล้อม หรือทัดทานจีนให้มากที่สุด แต่ในความเป็นจริงแปดปีของโอบามา สหรัฐเป็นฝ่ายตั้งรับกระแส "บูรพาภิวัตน์" มากกว่า
ตลอดสมัยของประธานาธิบดีโอบามานั้น จีนยังคงแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ แปรอำนาจเศรษฐกิจเป็นกำลังรบและแผ่เขตอิทธิพลเข้าไปในทะเลจีนตะวันออกและจีนใต้ จนสหรัฐหวั่นไหวต้องหนุนญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม อย่างออกหน้าในบริเวณเหล่านี้
ด้วยเศรษฐกิจที่ดีขึ้นไม่หยุดยั้ง จีนยังแผ่ขยายเข้าสู่มหาสมุทรอินเดียด้วย หนุนปากีสถานสร้างท่าเรือกวาดาร์ ซึ่งสำคัญมาก เพราะจีนจะส่งน้ำมันและแก๊สที่มาจากอ่าวเปอร์เซีย ผ่านปากีสถาน เข้าไปจนถึงซินเกียง จีนยังทำท่าเรือที่เมืองฮัมบันโตตาในศรีลังกา และท่าเรือจิตตะกองที่บังคลาเทศ และท่าเรือที่พม่าด้วย จีนไม่ได้หยุดอยู่แค่เพียงทะเลจีนเท่านั้น หากยังแผ่เข้าสู่มหาสมุทรอินเดีย
ในขณะที่จีนมองว่าการสร้างท่าเรือและการเชื่อมไมตรีกับปากีสถาน ศรีลังกา บังคลาเทศ และพม่า นั้นเป็นเรื่องปกติ สหรัฐกลับไม่มองอย่างนั้น พยายามดึงเอาอินเดียมาสัมพันธ์เป็นพิเศษในฐานะประเทศประชาธิปไตยด้วยกัน พร้อมทั้งเชิญชวนออสเตรเลียให้กลับมาร่วมมือทางการทหารในมหามุทรอินเดียมากขึ้น
ประเด็นที่ควรเห็นก็คือ สหรัฐในยุคโอบามาพยายามทัดทานการแผ่เขตอิทธิพลของจีนในสองมหาสมุทรสำคัญของเอเชียนี้ และ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มหาสมุทรอินเดีย เพราะมันเชื่อมต่อไปถึงอ่าวเปอร์เซียอันเป็นแหล่งพลังงานสำคัญที่สุดของโลก และมหาสมุทรแห่งนี้ยังโยงใยไปได้จนถึงยุโรปโดยผ่านคลองสุเอซ และแผ่ไปถึงด้านตะวันออกของอัฟริกาซึ่งกำลังเติบใหญ่ทางเศรษฐกิจขึ้นเรื่อยๆได้อีกด้วย โปรดสังเกตว่าจากที่เคยเป็นเพียงมหาอำนาจทางบก ขณะนี้จีนเริ่มจะผันแปรไปเป็นมหาอำนาจทางทะเลด้วย
ในขณะที่จีนและเอเชียรุ่งเรืองเข้มแข็งขึ้น ยุโรปอ่อนตัวลงในทางเศรษฐกิจ เหลือเพียงเยอรมัน เนเทอร์แลนด์ ที่ยังพัฒนาไปได้ดี นอกนั้นแล้ว ล้วนบอบช้ำไม่หายจาก"วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์" และหนี้สาธารณะที่ขยายตัวไม่หยุดหลังจากนั้น จนขณะนี้ภาระในการจ่ายคืนหนี้นั้นสูงมาก จนงบพัฒนาประเทศเหลือน้อย ยุโรปยังถดถอยกลับกลายเป็นลูกหนี้ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก รองจากสหรัฐเท่านั้น เงินยูโรราคาตกลงมาอย่างไม่เคยเห็น
ความเชื่อมั่นต่อสหภาพยุโรปตกต่ำจนกระทั่งสหราชอาณาจักรขอออกจากสหภาพยุโรปแล้ว ในภาวะเช่นนี้ทำให้ยุโรปไม่อาจเป็นพันธมิตรกับสหรัฐในการคัดค้านรัสเซียที่ผนวกไครเมียและเข้าไปเกี่ยวข้องกับสงครามกลางเมืองในยูเครนได้
สิบปีก่อนนั้น สหรัฐเคยรับผิดชอบงบประมาณนาโต้เพียงครึ่งหนึ่ง แต่เดี๋ยวนี้กลับต้องรับผิดชอบถึงร้อยละเจ็ดสิบ ในขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐก็ใช่ว่าจะดี เวลานี้สหรัฐทรุดโทรมจนกลายสภาพเป็นลูกหนี้รายใหญ่ที่สุดของโลก คงจำกันได้ว่าช่วงสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่สองจนถึงช่วงทศวรรษ1970 นั้น สหรัฐเศรษฐกิจดีมาก เคยเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดของโลก
เมื่อทั้งสหรัฐและยุโรปเศรษฐกิจอ่อนเปลี้ยลงเช่นนี้ แม้การทูตของตะวันตกจะวิพากษ์ ประนาม หรือ คว่ำบาตรแค่ไหน ก็หาทำให้รัสเซียสะทกสะท้านไม่ เพราะยุโรปไม่มั่งคั่งพอที่จะสนับสนุนปฏิบัติการทางทหารต่อรัสเซียได้ ส่วนสหรัฐเองก็ไม่เสี่ยงที่จะยอมให้ยุโรปลากเข้าไปเผชิญหน้ากับรัสเซีย ที่สำคัญ สหรัฐตระหนักมากขึ้นว่าทำไมตนจึงต้องรับภาระส่งกำลังทหารมากมายและใช้จ่ายเงินมากมายมหาศาลไปปกป้องยุโรป ในยามที่รุ่งเรืองไพบูลย์ก็อาจทนได้ แต่ราวสิบปีมานี้เศรษฐกิจสหรัฐเพิ่งจะเริ่มฟื้นตัวขึ้นมาเอง
ในตะวันออกกลาง สหรัฐแม้จะสังหารบิน ลาเดน ได้ ก็ยังขจัดขบวนทาลีบันให้หมดจากอัฟกานิสถานไม่ได้ กลับฟื้นขึ้นมามีปฏิบัติการได้อีก และในอิรักกับซีเรียพลันก็มีกองกำลังไอซิสที่มีอาสาสมัครจากยุโรปและทั่วโลกมาสมทบผุดขึ้นมาอีก เหี้ยมโหดและหัวปักหัวปำไม่แพ้อัลกออิดะห์ ขบวนการมุสลิมและอุดมการมุสลิมทำนองอัลกออิดะห์และไอซิสนี้ชี้ให้เห็นชัดว่าวันเวลาที่เห็นกันว่าความเจริญก้าวหน้าของโลกจะต้องเป็นไปตามมาตรฐาน ตัวแบบ และอุดมการของตะวันตกแต่อย่างเดียวนั้นได้สิ้นสุดลงแล้ว การพัฒนาแบบจีน การพัฒนาแบบมุสลิม ที่ไม่ยอมรับหลายอย่างของตะวันตก อาจเป็นทางเลือกใหม่ของโลกที่นำไปสู่ความสำเร็จได้
สิ่งที่สหรัฐต้องคิดในปลายยุคโอบามาคือทำไมต้องทุ่มเทกำลังคนและกำลังทรัพยากรจำนวนมากมหาศาลไปในดินแดนตะวันออกกลาง ในเมื่อการแก้แค้นประเทศและกลุ่มที่ก่อการถล่มตึกเวิร์ลด์เทรดก็ลุล่วงไปแล้ว หากจะเกิดอะไรขึ้นในอิรัก และซีเรีย ก็น่าจะทำใจ ปล่อยให้คนในประเทศเหล่านั้นแก้ปัญหากันเองต่อไป ในเมื่อสหรัฐไม่มีผลประโยชน์มากมายที่จะต้องรักษาไว้ในตะวันออกกลางอีกแล้ว เพราะประเทศที่อาศัยน้ำมันจากแหล่งนี้มากที่สุดคือจีน อินเดีย และเอเชียอื่น ๆ ส่วนเจ้าของน้ำมันก็คือรัฐบาลประเทศรอบอ่าวเปอร์เซียต่างหาก สหรัฐอเมริกาเวลานี้พึ่งตนเองเรื่องน้ำมันได้โดยสิ้นเชิงแล้ว นับแต่ประดิษฐ์คิดค้นเทคนิคการหาสกัดนำ้มันออกจากหินทรายได้สำเร็จ
"บูรพาภิวัตน์" ทำให้จีนและซีกตะวันออกของโลกกลายเป็นลูกค้าน้ำมันรายใหญ่ของตะวันออกกลาง แทนยุโรป แทนอเมริกา อย่างไม่น่าเชื่อ แต่น่าประหลาดใจไหม แทนที่จะเป็นจีนและเอเชียที่จะปกป้องตะวันออกกลาง กลับยังเป็นสหรัฐอยู่ที่ต้องพิทักษ์แหล่งน้ำมันใหญ่แหล่งนี้ ส่วนยุโรปนั้นต้องรองรับคนอพยพเรือนแสนเรือนล้านจากอัฟริกาตอนเหนือและจากซีเรียที่อเมริกาและตนเพิ่งเข้าแทรกแซงมา บทเรียนสำหรับมหาอำนาจยุโรปคือการแทรกแซงและใช้กำลังในประเทศใกล้เคียงนั้น นับวันไม่ใช่เรื่อง "ปอกกล้วยเข้าปาก"และมาจนถึงตอนนี้ที่เศรษฐกิจอ่อนทรุดลงมาก ยิ่งไม่น่าจะเข้ายุ่งเกี่ยวที่ไหนง่ายๆ มันไม่ใช่เรื่องหวานหมูในยุคบูรพาภิวัตน์ที่"ตะวันตก"จะเข้าข่มเหง จัดระเบียบ หรือ เที่ยว"สั่งสอน" ประเทศใดๆ
ในยุคโอบามานี้ จีนเข้าไปมีบทบาทในอเมริกาใต้และอัฟริกาอย่างน่าสนใจ ในอเมริกาใต้มีคนจีนค้าขายและทำงานในแทบทุกประเทศรวมแล้วเป็นแสน ส่วนอัฟริกามีเป็นล้าน จีนให้ความช่วยเหลือ ไปลงทุน ไปทำถนนหนทาง รถไฟ และรถไฟความเร็วสูง ไปสร้างสนามบิน ไปทำโรงงาน ไปทำฟาร์ม ในสองทวีปนี้อย่างเป็นล่ำเป็นสัน ในอัฟริกาจีนจัดประชุมสุดยอดกับผู้นำทุกประเทศอยู่สม่ำเสมอ ในละตินอเมริกาสหรัฐเฝ้ามองจีนไม่วางตาเพราะทวีปนั้นคือ"หลังบ้าน" หรือ เขตอิทธิพลของตนแต่ผู้เดียว จีนเข้าใจและยอมรับ"ลัทธิมอนโร"นี้ และวางตัวได้พอเหมาะพอสม ยังไม่มีข้อขัดแย้งกับอเมริกาในทวีปนี้ ส่วนในอัฟริกานั้น ยุโรปเจ้าอาณานิคมเดิมและอเมริกามหาอำนาจใหม่หลังสงครามโลกได้ละทิ้งมานานแล้ว ดังนั้นการเข้าสู่อัฟริกาของจีนจึงได้รับการต้อนรับอบอุ่น มีปัญหาอยู่บ้างในความสัมพันธ์จีน-อัฟริกาแต่ก็ไม่มากนัก และแทบไม่มีความขัดแย้ง หรือไม่มีการทัดทานใดๆ ระหว่างจีนกับอเมริกาและมหาอำนาจ "ตะวันตก"อื่นๆ ในทวีปอัฟริกาเช่นกัน
ประธานาธิบดีโอบามา ตั้งแต่สมัยแรก มองว่าการต่างประเทศและการทหารของสหรัฐนั้นทุ่มเทไป"ผิดที่" จีนและเอเชียต่างหากคือคู่แข่งสำคัญที่สุด ไม่ใช่รัสเซีย ไม่ใช่กลุ่มมุสลิมหัวรุนแรง ไม่ใช่เกาหลีเหนือและอิหร่าน พยายามจะผละจากอัฟกานิสถาน อิรัก ตะวันออกกลาง และยุโรป มุ่งไปเผชิญหน้าหรือต่อสู้กับจีนในเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ก็ยังไม่สำเร็จ นโยบายของฮิลลารี คลินตันเองยิ่งชัดเจนและมุ่งมั่นกว่าของโอบามาเสียอีกว่า ถ้าชนะการเลือกตั้งได้เป็นประธานาธิบดี จะทุ่มเทสรรพกำลัง และสติปัญญา มาต่อกรกับจีน แต่จำต้องสรุปอยู่ดีว่าแปดปีของโอบามาเป็นแปดปีที่"ผ่านเลย" สหรัฐยังหันหน้ามาจัดการกับจีนไม่ได้เต็มที่นั่นแหละ
ชัยชนะของทรัมป์อันสุดคาดฝันได้"เปิดทางใหม่"ให้สหรัฐมุ่งแก้ปัญหาความเสื่อมถอยในประเทศเป็นหลักพร้อมกันนั้นก็อาจจะเปิดหนทางใหม่ๆให้กับการต่างประเทศของสหรัฐ เป็นไปได้ว่าสหรัฐอาจจะลดบทบาท"ตำรวจโลก"ลง จะเข้าปะทะหรือขัดแย้งกับรัสเซียและจีนให้น้อยลง ไม่เข้าไปถ่วงดุลย์หรือทัดทานจีนมากนัก อาจยอมให้รัสเซียและจีนมีเขตอิทธิพล" ชอบธรรม" (รัสเซียมียูเครน เบราลุส ไครเมีย เป็นต้น จีนมีเอเชียตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้ เป็นต้น) ที่สหรัฐจะปล่อยให้เป็นอิสระ ไม่เข้าไปประกบ หรือเผชิญหน้า หรือขัดขวาง คล้ายกับที่สหรัฐมีละตินอเมริกาเป็นเขตอิทธิพล และสหรัฐอาจจะลดภาระการทหารลงทั่วโลก ลดทหารในเยอรมัน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เป็นต้น อาจปิดฐานทัพในต่างประเทศลงพอสมควร เกาหลีใต้กับญี่ปุ่น และอาเซียนอาจจำเป็นต้องอยู่กับจีนเกือบจะโดยลำพัง หรืออย่างน้อยก็มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ทรัมป์อาจหันรัฐนาวาออกจากเส้นทางเดิมไม่ได้มากนัก ทำไม่ได้มากเหมือนที่พูดหรือประกาศมา แต่กระนั้น ความตึงเครียดในเอเชียตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้น่าจะลดน้อยลง ครับ และกล่าวเฉพาะไทยเราถือว่า"โชคดี" ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงนักกับยุทธศาสตร์ "มุ่งกลับบ้าน" เพื่อ"สร้างอเมริกาให้กล้บมายิ่งใหญ่" ของประธานาธิบดีทรัมป์
ถ้าสหรัฐปรับปรุงตัวเองให้กลับมาเข้มแข็งได้อีก ตามที่ทรัมป์คิดเอาไว้ การเผชิญหน้ากับสหรัฐในทางการต่างประเทศและการทหารก็อาจกลับมาอีก แต่ในระหว่างสี่ถึงแปดปีนี้โลกน่าจะสงบขึ้น ถ้าทรัมป์ทำเป็นจริงๆ โลกอาจจะดีขึ้น สหรัฐกับจีนน่าจะอยู่ด้วยกันได้ค่อนข้างดีในเอเชียและในโลก และไทยมีแต่จะได้จากมิตรสัมพันธ์ที่ดีของสองมหาอำนาจโลกนี้
