ตุลาการศาลปค. แนะการตีความสำคัญ ชี้กม. ใช้สิทธิชุมชนฟ้องคดีสิ่งแวดล้อมได้
นักวิชาการ ฟันธงกฎหมายเป็นต้นเหตุความไม่ยุติธรรมทางสิ่งแวดล้อม แนะควรปรับปรุงให้ทันสมัย-สากล และบังคับใช้อย่างจริงจัง ผอ.กรมควบคุมมลพิษ ห่วงเรื่องประเมินค่าเสียหาย ต้องกำหนดให้ดี ใช้หลักเศรษฐศาสตร์ช่วย
วันที่ 2 กุมภาพันธ์ สำนักงานศาลยุติธรรมจัดงานสัมมนาทางวิชาการ เรื่อง “การพัฒนาระบบยุติธรรมทางสิ่งแวดล้อม” โดยในช่วงเช้ามี นางสุนี ไชยรส รองประธานกรรมการปฏิรูปกฎหมาย นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย นายสุทธิ อัชฌาศัย นักเคลื่อนไหวภาคประชาสังคม และ ผศ.ดร.คนึงนิจ ศรีบัวเอี่ยม คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมสัมมนาถึงปัญหาความไม่เป็นธรรมทางสิ่งแวดล้อมในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น คดีป่าไม้และที่ดิน คดีของภาคอุตสาหกรรม ด้านมลพิษ ซึ่งโดยรวมแล้วปัญหาความเป็นธรรมด้านสิ่งแวดล้อมมักมีต้นเหตุมาจากตัวกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น กฎหมายหรือระเบียบเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม มีความล้าหลัง รวมถึงขาดการออกกฎหมายที่เข้มงวด และมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ กลุ่มตัวแทนจากภาคต่างๆ ยังมีข้อเสนอแนะต่อการพัฒนาระบบยุติธรรมด้านสิ่งแวดล้อมด้วยว่า รัฐควรมีการปรับปรุงกฎหมายข้อกำหนดให้ทันสมัย เป็นสากล ที่สำคัญต้องมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง รวมถึงต้องมีการพัฒนาบุคลากรในองค์กรให้มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง และศาลควรต้องชี้ให้เห็นทางออกของปัญหา ให้เกิดเครื่องมือใหม่เพื่อนำไปปฏิบัติด้วย
พร้อมกันนี้ ยังมีความเห็นว่า ระบบยุติธรรมสิ่งแวดล้อมคงไม่ใช่แค่เรื่องการพัฒนาระบบศาลเพียงอย่างเดียว แต่ต้องแก้ตั้งแต่ต้นทาง ว่ากระบวนการกระทำกฎหมาย ถ้ามีกฎเกณฑ์ที่ไม่ถูกต้อง ไม่เป็นธรรม ก็สร้างความไม่ยุติธรรมมาตั้งแต่ต้น
จากนั้นในช่วงบ่าย มีเวทีสัมมนา เรื่อง “การพัฒนาระบบยุติธรรมทางสิ่งแวดล้อม" โดยมี นายไพโรจน์ มินเด็น ตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองกลาง นายพันวะสา บัวทอง ประธานแผนกคดีสิ่งแวดล้อมในศาลฎีกา และนายสุชิน สังขพงษ์ ผู้อำนวยการกองนิติการ กรมควบคุมมลพิษ ร่วมสัมมนา
นายไพโรจน์ กล่าวว่า สิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงในเรื่องสิ่งแวดล้อมคือ ความเข้าใจที่ต้องทำให้มีความตรงกัน ทั้งนี้ คดีทางสิ่งแวดล้อมนั้นไม่เหมือนกับคดีอาญา หรือคดีทางแพ่ง เนื่องจากมีสิ่งแวดล้อมเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
“สิ่งแวดล้อมเป็นผู้เสียหายก่อนมนุษย์ เป็นสิ่งที่ได้รับความเดือดร้อนก่อนมนุษย์ แต่ที่ผ่านมาการเยียวยาเป็นการเยียวยาแค่คน ขณะที่สิ่งแวดล้อมไม่ได้รับการฟื้นฟู เป็นการทำงานที่ผิดเป้า ซึ่งในความจริงแล้วถ้าสิ่งแวดล้อมได้รับการเยียวยา มนุษย์ก็จะไม่เดือดร้อน ฉะนั้น ควรต้องมีการปรับปรุงการพิจารณาคดีเพิ่มขึ้น และต้องพัฒนาศักยภาพ ปรับเปลี่ยนวิธิคิดให้เข้าใจระบบสิ่งแวดล้อม โดยมองสิ่งแวดล้อมเป็นประการสำคัญ ไม่ใช่คู่กรณี”
นายไพโรจน์ กล่าวด้วยว่า สิ่งแวดล้อมเป็นผู้เสียหาย แต่ไม่สามารถมาฟ้องร้องได้ แต่ทั้งนี้ มีกฎหมายสิทธิชุมชนตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ ที่ชาวบ้านสามารถนำมาฟ้องร้องได้ เนื่องจากเป็นกฎหมายที่ครอบคลุมทุกคนในชุมชน และสิ่งแวดล้อมก็ได้รับการคุ้มครองโดยชุมชนนั้น ฉะนั้นแล้วชุมชนจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียในทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในท้องที่นั้นจริงๆ และการใช้สิทธิชุมชนในการฟ้องคดีจึงเป็นเรื่องควบคู่กับการป้องกันสิ่งแวดล้อมด้วย
“สิ่งสำคัญในการใช้กฎหมายคือ การตีความกฎหมาย ซึ่งควรมีการนำมาใช้ในคดีสิ่งแวดล้อมด้วย ทั้งนี้ มีหลักกฎหมายสิ่งแวดล้อมอยู่เป็นจำนวนมากในรัฐธรรมนูญ แต่ไม่มีใครนำมาใช้อย่างจริงจัง การนำเอากฎหมายมาใช้ และตีความให้เข้ากับข้อเท็จจริงจะนำไปสู่ ความยุติธรรม”
นอกจากนี้ ตุลาการศาลปกครอง ยังกล่าวถึง การกำหนดมาตรการชั่วคราวว่า ที่ผ่านมามีการกำหนดใช้น้อย เนื่องจากไม่มีการวางเกณฑ์ไว้อย่างชัดเจน ซึ่งเป็นการสร้างความลำบากใจของศาลในการกำหนดมาตรการอย่างยิ่ง โดยการตั้งกฎเกณฑ์ต้องมองว่ามีความจำเป็นที่ต้องกำหนดมาตรการชั่วคราวหรือไม่ โดยหากคาดว่าจะเกิดความรุนแรงขึ้น ต้องให้มีการกำหนดมาตรการชั่วคราวออกมาก่อน
ทั้งนี้ นายไพโรจน์ กล่าวด้วยว่า ขณะนี้ทางศาลปกครองกำลังปรับปรุงและพิจารณาวางเกณฑ์การฟ้องคดีเพื่อสาธารณประโยชน์ ซึ่งจะทำให้คดีไม่มีอายุความ ช่วยให้สามารถตรวจสอบการกระทำที่มิชอบและคุ้มครองคดีสิ่งแวดล้อมได้ในระยะยาว
ขณะที่ นายพันวะสา กล่าวถึงคดีสิ่งแวดล้อมเป็นคดีที่ไม่มีศาลดูแลโดยเฉพาะ ฉะนั้นจึงต้องศึกษาใช้หลักการ ตามคดีแพ่งและคดีอาญาทั่วไป ซึ่งบางครั้งมองว่า คดีสิ่งแวดล้อมควรจะมีการพิจารณาที่แตกต่างจากคดีทั่วไป เพื่อให้มีประสิทธิภาพ และเห็นถึงความชัดเจนในการพิจารณาคดี
“คดีส่วนใหญ่เป็นคดีอาญา โดยการฟ้อง พระราชบัญญัติป่าไม้ ป่าสงวน ถึง 70% ในขณะที่คดีแพ่งมีเพียง 9 เรื่องเท่านั้น เป็นเรื่องของการเรียกร้องความเสียหาย ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม โดยคดีที่เกิดขึ้นในเขตป่าสงวนและป่าไม้ที่มีมาก เนื่องจากในปัจจุบันพื้นที่ไม่ได้มีสภาพเป็นป่าเหมือนในสมัยก่อน จึงทำให้พิสูจน์หลักฐานยากขึ้น เพราะแนวเขตเดิมมีความชัดเจนง่ายต่อการพิสูจน์ แต่ปัจจุบันมีกฎหมายหลายฉบับ ให้รัฐอนุญาตให้ราษฎร เอกชน หรือแม้กระทั่งหน่วยงานของรัฐเอง เข้าทำกิจในเขตป่าสงวนได้ จึงทำให้พิสูจน์ได้ยากขึ้นเพราะเป็นที่ทำกินไปหมดเขตจึงไม่ชัดเจน ส่งผลต่อการพิจารณาคดี” นายพันวะสา กล่าวและ ว่า การพิจารณาคดีต้องมองหลายเรื่องตามข้อเท็จจริง การเข้าสู่ศาลเป็นการแก้ไขที่ปลายเหตุ การแก้ไขควรแก้ตั้งแต่ต้นเหตุมากกว่า
ทั้งนี้ ประธานแผนกคดีสิ่งแวดล้อมในศาลฎีกา กล่าวด้วยว่า ประธานศาลฎีกา ได้จัดทำคำแนะนำเพื่อให้ผู้พิพากษา เป็นแนวในการพิจารณาคดีสิ่งแวดล้อม โดยเป็นการนำวิธีเลือกการนำหลักฐานมาใช้ในข้อเท็จจริงของสำนวนคดีให้ได้มากที่สุด เพราะว่าปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นปัญหาใหญ่และเป็นสากล เน้นการพิสูจน์พยานหลักฐาน การใช้พยานผู้เชี่ยวชาญ การใช้วิธีการคุ้มครองชั่วคราว เหล่านี้จะช่วยให้การพิจารณาคดีสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
ส่วน นายสุชิน กล่าวถึงเรื่องการประเมินค่าเสียหายที่เกิดแก่ทรัพยากรธรรมชาติ ว่า เป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับกระบวนการยุติธรรมในประเทศไทย เพราะถ้าเป็นทรัพยากรของใครคนใดคนหนึ่งคงจะประเมินได้ไม่ยาก คดีสิ่งแวดล้อมจึงเป็นคดีที่แตกต่างจากคดีแพ่งค่อนข้างมาก ในเรื่องของการกำหนดค่าเสียหายเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะต้องพิจารณากันหลายด้าน แต่ก็ยังเป็นข้อถกเถียงกันอยู่ เช่น ค่าทำให้โลกร้อนสมควรจะต้องให้หรือไม่ ในกรณีที่กรมป่าไม้ฟ้องเรื่องการตัดไม้ทำลายป่า หรือค่าทำให้ความหลากหลายทางชีวภาพลดลง ควรจะต้องให้หรือไม่ เรื่องนี้จึงยากพอสมควร ทั้งนี้ แนะนำว่าควรนำแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์มาใช้เข้าช่วยในการกำหนดเกณฑ์การชดเชยค่าเสียหายด้วย
